ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของเจียงชิงอวิ๋นที่เหลือเพียงตัวคนเดียว ต่อให้ย้ายออกไปจากจวนอ๋องเพื่อไปอยู่เพียงลำพัง ก็ยังต้องพึ่งพาจวนอ๋องเช่นเดิม อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้ย่อมดีกว่าอยู่ใต้ผู้อื่นทั้งยังถูกข่าวลือมากมายโจมตี
ฉินไท่เฟยนึกถึงยามที่ตระกูลเจียงถูกโรคระบาดรุมเร้าก็รู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เด็กคนนี้มีจิตใจแน่วแน่จริงๆ”
“ท่านป้า สถานที่ที่ข้าจะไปอยู่ไม่ไกลจากเมืองเยี่ยน ข้าจะมาเยี่ยมท่านทุกเดือน ท่านไม่ต้องเป็ห่วงข้า”
โจวโม่เสวียนพาฉินไท่เฟยและเจียงชิงอวิ๋นไปส่งที่เรือน จากนั้นจึงย้อนกลับมาในสวนดอกไม้เพื่อฉลองเทศกาลร่วมกับบิดามารดารวมไปถึงเหล่าพี่ชายพี่สาว
การละเล่นตีกลองส่งดอกไม้กำลังดำเนินไป โจวลั่วเหยียนร่ายบทกลอนด้วยเสียงใสกังวาน ทั้งยังมองมาที่โจวโม่เสวียนด้วยแววตายั่วยุอยู่หลายครั้ง
แสงไฟทำให้เห็นสีหน้าของโจวลั่วเหยียนได้ชัดเจน ทว่าโจวโม่เสวียนกลับมิได้ใส่ใจ ก็เหมือนกับที่เจียงชิงอวิ๋นได้กล่าวไว้ เขาเป็ผู้ที่มีวรยุทธ์ดีเยี่ยมแห่งจวนอ๋อง ผู้นำทัพบุกโจมตีเข่นฆ่าศัตรูอย่างกล้าหาญเยี่ยงวีรบุรุษ
ที่จวนเยี่ยนอ๋องยืนหยัดมาได้นับร้อยปีโดยไม่ล้มครืนเช่นนี้ มิใช่อาศัยโคลงกลอน แต่อาศัยฝีมือในการสู้รบฆ่าศัตรูต่างหาก
ต่อให้โจวลั่วเหยียนจะแต่งกลอนสักกี่ครั้งก็ไม่เคยได้รับคำชมเชยจากโจวปิงแม้แต่ประโยคเดียว ไม่มีแม้กระทั่งสายตาที่ชื่นชมด้วยซ้ำไป
ขณะนี้เจียงชิงอวิ๋นเดินเล่นอยู่ในลานเรือนเพื่อสงบใจ จากนั้นจึงไปอ่านตำราที่ห้องหนังสืออยู่ครึ่งชั่วยาม ก่อนจะชำระร่างกายแล้วเข้านอน เขาทิ้งตัวลงบนเตียง พลิกตัวไปมาอย่างคนนอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะกำลังโศกเศร้าใจอันใด แต่เป็เพราะกินจนอิ่มเกินไป ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ช่างทำให้เขาประทับใจอย่างลึกล้ำจริงๆ
ยามดึก เมฆครึ้มบดบังดวงจันทร์ ฝนตกโปรยปราย เสียงฝนดังแว่วมา รับรู้ได้ว่าฝนตกไม่เบาเลยทีเดียว
จ้าวซื่อนอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง หลี่ซานที่อยู่ข้างกายส่งเสียงกรนดุจฟ้าร้อง เสียงดังรบกวนทำให้จ้าวซื่อนอนไม่หลับ ผู้คนล้วนกล่าวกันว่า สามีภรรยาอยู่ห่างกัน่เวลาหนึ่ง เมื่อพบกันอีกครั้งจะทำให้รักกันมากกว่าเดิม ทว่าจ้าวซื่อกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น นางอยู่คนเดียวมาหลายเดือนจนชินแล้ว เมื่อสามีกลับมาจึงรู้สึกไม่ชิน
ด้านนอกฝนตกแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็ระยะ
ฤดูร้อนปีนี้มีฝนตกไม่มาก ชาวบ้านคิดกันว่ายามฤดูใบไม้ร่วงจะแห้งแล้ง ฝนในค่ำคืนนี้จึงนับว่าตกได้เหมาะเจาะยิ่งนัก
หากเป็เมื่อก่อน จ้าวซื่อจะต้องกล่าวโทษเป็แน่ว่า วันฝนตกทำให้ค้าขายไม่ได้ ทั้งยังจะเป็ห่วงสามีและน้องชายสามีที่ไปสร้างกำแพงเมืองอยู่ที่เมืองเยี่ยนอีกด้วย ทว่าวันพรุ่งนี้ตระกูลหลี่จะพักผ่อนไม่ได้ขายของ สามีและน้องชายเขาก็กลับมาแล้ว ค่ำคืนนี้จึงไม่ได้กังวลอันใดอีก
เสียงกรนของหลี่ซานดังยิ่งนัก ราวกับเสียงฟ้าร้อง ดังยิ่งกว่าเสียงกรนของผู้ใด จ้าวซื่อพลิกตัวตะแคงไปทางหลี่ซาน นางที่สายตาไม่ค่อยดีนักมองเห็นใบหน้าด้านข้างอันคุ้นเคยของสามีได้เพียงรางๆ ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาก
สามีกลับถึงบ้านแล้ว นางไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะมีโจรขโมยเข้ามาขโมยข้าวของในบ้านยามค่ำคืนอีก
คนตระกูลหลี่นอนหลับสบายจนไม่รู้เวลา เมื่อตื่นขึ้นมาก็เป็ยามสายของวันต่อมาแล้ว ตอนนี้ยังคงมีฝนตก ไก่หลายสิบตัวในเล้าไก่ที่มีขนาดไม่ใหญ่มากยืนรออาหารกันอยู่ข้างเล้า ลาที่อยู่ที่ลานด้านหลังก็หิวจนส่งเสียงร้องประท้วง
เด็กชายทั้งสี่ของบ้านหลี่ตื่นนอนแล้ว ต่างรีบไปให้อาหารไก่ ให้อาหารลา และต้มน้ำร้อน โดยยังไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกาย เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้วมองไปบนท้องฟ้า คะเนว่าฝนในคราวนี้คงจะตกถึง่เย็น
ไกลออกไปมีหมอกลงหนา ทั้งหมู่บ้านราวกับถูกกรงฝนครอบขัง บนถนนดินของหมู่บ้านไร้ผู้คนสัญจร เงียบสงบจนได้ยินเสียงฝนตกกระทบพื้น
หลี่ซานตื่นจากการนอนชดเชยแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าตนี้เีจนไร้เรี่ยวแรง เห็นจ้าวซื่ออาบน้ำสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วจึงมองไปที่กระโถนที่อยู่มุมห้อง ทว่าไม่พบ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด เขากล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า “เ้าตื่นแล้วเหตุใดจึงไม่เรียกข้า?”
จ้าวซื่อกล่าวเสียงอ่อนโยน “ท่านเหนื่อยมาหลายเดือนแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้กลับบ้านมานอนหลับสบายๆ สักครั้ง ข้าจึงไม่อยากปลุกท่าน”
“เมื่อคืนเ้าบอกว่า มีเื่จะหารือกับข้า แต่ข้าดื่มสุราจนเมา เ้าพูดกับข้าไปแล้วหรือไม่”
จ้าวซื่อกรอกตาใส่หลี่ซานครั้งหนึ่ง “ท่านหลับเหมือนหมู ข้าพูดไปแล้วใครจะฟัง”
หลี่ซานหัวเราะเสียงดัง เดินเข้าไปโอบไหล่จ้าวซื่อก่อนจะหอมแก้มไปครั้งหนึ่ง ยื่นมือออกไปลูบท้องของจ้าวซื่อที่ใหญ่โตจนน่าใ “เ้าก็ว่ามาตอนนี้เลย ข้าฟังอยู่”
จ้าวซื่อซบข้างหูสามีของตน ลมหายใจของนางหอมราวบุปผา กระซิบบอกว่า “ลูกๆ ทำการค้าหาเงินได้มากมาย นอกจากเอาเงินไปปรับปรุงบ้าน ขุดบ่อน้ำ และซื้อลาแล้ว ก็ยังมีเงินเหลืออยู่มาก ทั้งยังมอบให้ข้ามาเป็ระยะจนมีสี่สิบตำลึงแล้ว”
หลี่ซานเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “สี่สิบตำลึง!?” เขากับหลี่สือทำงานสุดชีวิต หนึ่งเดือนรวมกันแล้วยังหาเงินได้เพียงหนึ่งตำลึงห้าสิบทองแดง
จ้าวซื่อยื่นมือออกไปลูบแก้มที่ตากแดดจนคล้ำของสามี รู้สึกปวดใจเล็กน้อย “ใช่”
หลี่ซานถามต่อ “เหตุใดจึงมีเงินมากมายเพียงนี้?”
“หรูอี้เป็คนคิดสูตรอาหารและวิธีการค้าขาย บัญชีของบ้านในหลายเดือนมานี้นางก็เป็คนดูแล เงินสี่สิบตำลึงนี้ก็เป็เพราะนางให้มา” จ้าวซื่อหันไปหยิบกล่องเก็บเงินออกมา
หลี่ซานแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตนเอง เพียงแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าก็คือ ตั๋วเงิน ที่เป็กระดาษขาวตัวอักษรดำพร้อมตราประทับอันเป็เอกลักษณ์ของร้านแลกเงินจริงๆ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดเปรียบ “ซื้อที่ ไม่ทันไรครอบครัวพวกเราก็มีตั๋วเงินมากเพียงนี้แล้ว จะต้องซื้อที่ไว้ให้มาก!”
“ซื้อที่ไม่ได้” จ้าวซื่อดึงตั๋วเงินกลับมาแล้วเอาไปใส่ไว้ในกล่องก่อนเก็บล็อกให้เรียบร้อย กล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “ข้ากับหรูอี้ปรึกษาและตัดสินใจกันแล้วว่า จะส่งลูกชายทั้งสี่ไปเรียนที่สำนักศึกษาในตำบล เงินพวกนี้ต้องเก็บไว้เป็ค่าเล่าเรียน”
รอยยิ้มของหลี่ซานเลือนหาย เขาใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวเสียงอ่อย “เงินพวกนี้เก็บไว้ให้พวกเจี้ยนอันเรียนหนังสือก็ได้”
เมื่อได้ยินดังนั้นจ้าวซื่อก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา “พี่ซาน ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดเื่ที่จะให้พวกเจี้ยนอันไปเรียนหนังสือกับท่านแล้ว ทุกครั้งท่านก็พูดว่า ได้ ตอนนี้ที่บ้านเรามีเงินแล้ว ข้าย่อมอยากจะทำให้ความหวังนี้เป็จริง”
หลี่ซานเอ่ยถาม “ค่าเล่าเรียนหนึ่งปีต้องใช้เงินเท่าใด”
“สิบกว่าตำลึง ตั๋วเงินพวกนี้พอให้พวกเขาเรียนสองปี”
หลี่ซานถามต่อไป “อีกสองปีพวกเจี้ยนอันจะสอบซิ่วไฉได้หรือ”
“บัณฑิตศึกษาเรียนรู้อย่างยากลำบากมาสิบปี ก็ไม่แน่ว่าจะสอบได้ซิ่วไฉ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกชายของพวกเราที่เรียนได้แค่สองปีเลย” จ้าวซื่อนึกถึงพี่ชายทั้งสามของตนที่เริ่มศึกษาเล่าเรียนั้แ่หกขวบ ศึกษาที่สำนักศึกษาเจ็ดแปดปี จากนั้นก็สอบได้ถงเซิงตามลำดับ
บนใบหน้าของหลี่ซานไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป “ข้าจ่ายค่าเล่าเรียนให้พวกเขาสี่คนเป็เวลาสิบปีไม่ไหวแน่” หากจะกล่าวว่า จ่ายค่าเล่าเรียนให้บุตรชายเพียงคนเดียวเป็เวลาสิบปียังพอไหว ทว่าตอนนี้จะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนให้บุตรชายสี่คน สิบปีก็ต้องใช้เงินเกือบสองร้อยตำลึง นี่เป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้
จ้าวซื่อจับจ้องไปยังหลี่ซาน “หรูอี้มีสูตรอาหารแปลกใหม่มากมาย ท่านกับหลี่สือก็ทำอาหารขายตามคำพูดของนางเถิด เช่นนี้ครอบครัวของพวกเราก็จะหาเงินได้มาก จ่ายค่าเล่าเรียนสำหรับพวกเขาสี่คนได้แน่”
หลี่ซานไม่เชื่อในสิ่งที่จ้าวซื่อพูดว่าจะเป็ไปได้ จึงกล่าวขึ้นว่า “หรูอี้เป็เพียงเด็กน้อย นางยังอายุไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ”
ตอนนี้เองเสียงใสกระจ่างของหลี่หรูอี้ก็ดังแว่วออกมาจากทางหน้าต่าง “ท่านพ่อ ท่านแม่ อาหารเช้าเสร็จแล้วเ้าค่ะ”
แม้จะกล่าวว่าเป็อาหารเช้า แต่ก็ถึง่ปลายยามเฉินแล้ว (ราวเก้าโมง) ทั้งครอบครัวมารวมตัวกันกินแป้งย่างใส่ไข่อันหอมกรุ่น ทั้งยังมีโจ๊กและผักดองด้วย บรรยากาศคล้ายการเฉลิมฉลองปีใหม่
ชีวิตอันสะดวกสบายเช่นนี้เป็สิ่งที่หลี่ซานไม่กล้าคิด ส่วนหลี่สือก็ดีใจจนรอยยิ้มบนใบหน้ากว้างกว่าที่เคย
เมื่อทานข้าวเสร็จแล้วฝนด้านนอกยังคงตกอยู่ ในห้องโถงจึงค่อนข้างมืดสลัว จ้าวซื่อไม่สามารถปักผ้าได้จึงอธิบายเื่การค้าที่ลูกๆ ทำในหลายเดือนมานี้ให้หลี่ซานฟังอย่างละเอียด
ในฐานะที่หลี่เจี้ยนอันเป็บุตรชายคนโตจึงมานั่งอยู่ข้างกายจ้าวซื่อเพื่ออธิบายเสริมในส่วนที่ขาด
หลี่หรูอี้เดินเข้ามาเพื่อร่วมสนทนาในเื่ที่จะเป็ตัวกำหนดโชคชะตาของครอบครัว เริ่มด้วยการเงียบฟัง จนกระทั่งได้ยินหลี่ซานกล่าวว่า “หรูอี้เป็เพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่อาจเก็บเงินไว้ที่ตัวได้มากเพียงนั้น อีกทั้งบ้านเราก็มีที่ดินน้อย เงินพวกนี้ก็เอาไปซื้อที่เถิด”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้