หานโม่ยักไหล่ "ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้นเองมิใช่หรือ? ก่อนหน้านี้เื่ที่หานซินจับข้าไปแต่งงานกับนายน้อยสี่หัวหมูแห่งตระกูลลู่ผู้นั้นเล่าจะว่าอย่างไร? เื่ที่หานซินทำข้าเสียโฉมก่อนหน้านี้อีกเล่า? แล้วไหนจะความจริงที่ว่าฮูหยินอู๋ซื่อตระกูลหานเอาเงินค่าอาหารการกินของข้ากับสาวใช้ไปแถมยังปล่อยให้พวกข้าไปอาศัยอยู่ในเรือนเล็กที่ทรุดโทรม ในทุกๆ วันต้องกินอาหารบูดเน่าดื่มน้ำฝนประทังชีวิตจะว่าอย่างไรหรือ? ความจริงที่ว่าท่านแม่ของข้านั้นตายอย่างไรอีกเล่า?"
หานโม่ระดมคำพูดออกมาไม่หยุด โดยทุกถ้อยคำที่เอ่ยออกมาล้วนแล้วแต่ทำให้สีหน้าของผู้คนที่อยู่ตรงนั้นเปลี่ยนไป
ในตอนที่หานโม่เอ่ยจบ ไม่ต้องพูดถึงใบหน้าของหานิและเหล่าพี่น้องคนอื่นเลย แม้แต่ใบหน้าของนายหญิงอู๋ซื่อและหานเฉินต้งเองต่างก็ดำมืดราวกับก้นหม้อ
เว่ยซื่อและจางซื่อก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอีกต่อไปแล้ว รอยยิ้มที่มักจะประดับอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่ต่างอันตรธานหายไปและหันไปบอกกับบุตรสาวของตนที่นั่งอยู่ข้างกายว่า "จงเงียบเหมือนไก่" [1]
ในตอนนี้ทั้งโต๊ะต่างหยุดชะงักไป
บรรยากาศราวกับว่ากำลังมีลมพัดแรงฝนฟ้ากระหน่ำไหลเวียนอยู่ในห้องโถง เกรงว่าคงจะมีเพียงหานโม่เท่านั้นที่บนใบหน้ายังประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ ส่วนคนอื่นนั้นต่างหันไปมองสีหน้าของหานเฉินต้งบ่อยครั้งเพื่อคอยดูท่าทีของเขา
หานเฉินต้งเองก็ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาต้องรอนาน ในตอนที่ทุกคนกำลังตั้งสมาธิจดจ่ออยู่นั้น หานเฉินต้งก็ค่อยๆ เหลือบตาขึ้นมาสบกับหานโม่ "เสี่ยวชี..."
ฝ่ามือทั้งสองข้างของหานซินกำเสื้อผ้าของตนเองแน่นด้วยความตื่นเต้น แววความอาฆาตพยาบาทในดวงตาของนางเผยออกมาอย่างไม่ปิดบัง นางคิดว่าหากหานโม่พูดอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรเช่นนี้ออกมา บิดาจะต้องเดือดดาลอย่างมากเป็แน่ นางกำลังตั้งตารอดูเหตุการณ์ที่น่ารื่นรมย์นี้อยู่!
ทว่าคำพูดต่อมาของหานเฉินต้งกลับทำให้ดวงตาของหานซินเบิกกว้าง......
เขากล่าวว่า "เื่ก่อนหน้านี้พวกเราตระกูลหานต้องขอโทษเ้าด้วย เ้าวางใจได้ว่าต่อแต่นี้ไปมันจะไม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน เ้าคือคุณหนูเจ็ดตระกูลหาน เื่นี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"
ทันใดนั้นเองหานซินก็ะเิออกมาทันที นางลุกขึ้นยืนอย่างรววดเร็ว และเป็เพราะการเคลื่อนไหวที่กะทันหันมากเกินไปของที่อยู่บนโต๊ะจึงพากันตกแตกจนกระจัดกระจายเต็มพื้น "ท่านพ่อ! เหตุใดท่านถึงพูดเช่นนี้เล่าเ้าคะ หานโม่มีอะไรดีงั้นหรือ? มันเป็เพียงแค่คนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้นเอง!"
หานเฉินต้งเหลือบตามองหานซินเป็เชิงปราม ก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไร หานโม่ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อนว่า "หากท่านว่าเช่นนั้น ข้าจะรอดูก็แล้วกัน"
ในขณะเดียวกันนั้นหานซินก็ถูกหานเทียนดึงให้นั่งลง
ในตระกูลหาน คำพูดของหานเฉินต้งคือคำประกาศิตที่พวกเขาไม่สามารถฝ่าฝืนได้
แม้ว่าพวกเขาจะมีความเกลียดชังหานโม่อยู่ในใจ แต่ก็ไม่อาจแสดงมันออกมาต่อหน้าบิดาได้เลย
นี่เป็ครั้งแรกที่เว่ยซื่อได้เห็นฮูหยินใหญ่ถูกบีบให้พ่ายแพ้ จึงมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ในดวงตาและเอ่ยด้วยเสียงดังกังวานว่า "เป็ตามที่นายท่านพูดเลยเ้าค่ะ ถึงแม้ว่าคุณหนูเจ็ดจะน้อยใจเื่ราวเมื่อครั้งก่อน แต่เพราะพ่อบ้านจัดการดูแลได้ไม่ดีนักจนทำให้เ้าต้องรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม ตอนนี้เ้าก็ขมสิ้นหวานตามแล้ว [2] ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เ้าดูนายท่านสิ ยังคงรักและเอ็นดูเ้าที่เป็บุตรสาวอยู่ไม่ใช่หรือ? ไม่มีตระกูลไหนไม่เคยบาดหมางกัน เมื่อก่อนนายท่านมีภารกิจมากมายเสียจนละเลยไม่ได้ใส่ใจเ้า มาตอนนี้ไม่ใช่ว่ากำลังชดเชยให้แก่เ้าอยู่หรอกหรือ? "
สิ่งที่เว่ยซื่อพูดนั้นช่างรื่นหูและเป็การตบหน้าใครบางคนเสียจริงๆ
ที่ฟังรื่นหูเพราะมันไหลผ่านหูของหานเฉินต้ง ส่วนการตบหน้านั้นก็คือการตบไปที่ใบหน้าขาวๆ ของอู๋ซื่อ
แล้วนางยังถือโอกาสดึงหานโม่มาเป็พวกของตนเองอีกด้วย การฆ่านกสามตัวด้วยหินก้อนเดียว [2] ช่างเป็ "คำที่เหมาะสม" จริงๆ
ใบหน้าของหานโม่เรียบนิ่งไม่ปรากฏร่องรอยใดๆ ด้วยนางไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งจากการเว่อซื่อกู้หน้าให้ ปากบางยิ้มเย้ยหยันและหานโม่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
หากเป็คนทั่วไปคงจะมีความรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง แต่เว่ยซื่อกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นนางยังหันไปเอ่ยชมหานโม่ให้กับหานเฉินต้งอีกด้วย
บรรยากาศในงานเลี้ยงที่เดิมทีนั้นน่าอึดอัดดูคล้ายกับว่าเริ่มมีบรรยากาศที่ดีขึ้นมาแล้ว
หานเยว่เองเป็คนที่ค่อนข้างเก่งในเื่เอาใจคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้นางถือว่าตนเองเป็บุตรสาวที่โตที่สุดจึงมักจะแสร้งทำตัวเป็พี่สาวที่แสนดีเสมอมา เมื่อเห็นว่าอี๋เหนียง [3] ของตนเองกำลังโน้มน้าวใจท่านพ่ออยู่ จึงเริ่มหันมาพูดคุยกับเหล่าน้องๆ บ้าง
ทว่าหานซินกำลังโกรธจัด เมื่อนางเห็นว่ามารดาของตนเองนั้นเศร้าเสียใจจนนิ่งเงียบไป แต่ตัวนางเองก็ไม่อาจโกรธจนทำอะไรบ้าๆ ออกไปได้ ทำได้เพียงแค่ข่มความโกรธอยู่เงียบๆ โดยที่ไม่ยอมพูดคุยกับใครทั้งสิ้น
หานเซียงเองก็เป็คนช่างสังเกตเช่นกัน ในไม่ช้านางก็เริ่มหันไปพูดคุยกับหานเยว่
ทั้งสองคนหันมาพูดคุยกับหานโม่อยู่หลายคำ ถึงแม้ว่าหานโม่จะไม่ได้สนใจพวกนาง แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้รู้สึกเขินอายเลย ยังคงแสดงภาพลักษณ์ของพี่สาวผู้ใจดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
หลังจากบรรยากาศในห้องโถงดีขึ้นแล้ว ไม่นานอาหารก็ได้ถูกลำเลียงออกมาวางบนโต๊ะ และต่อจากนี้คือการแสดงละครของบิดาที่มีเมตตาและบุตรที่กตัญญู
หานโม่นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโต๊ะอาหาร นางทำตัวราวกับตนเองเป็เพียงคนนอกั้แ่ต้นจนจบ
ั้แ่เริ่มงานเลี้ยงมา หานโม่สนใจแค่อาหารตรงหน้าของตัวเองเท่านั้น หลังจากที่กินจนอิ่มแล้วก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า "ข้าอิ่มแล้ว" จากนั้นก็เดินจากไปพร้อมกับเสี่ยวเยว่ทันที
หลังจากที่หานโม่ออกไปแล้ว บรรยากาศในงานเลี้ยงที่กำลังครึกครื้นก็ค่อยๆ เงียบลง
หานเฉินต้งเป็คนแรกที่วางตะเกียบ แม้ว่าบนใบหน้าของเขาจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา แต่กระแสความกดดันที่แผ่ออกมานั้นชัดเจนมาก
จากนั้นคนที่เดินออกไปก็คือ อู๋ซื่อ
นางกับบุตรสาวเดินไปพลางด่าหานโม่ไปด้วยความคับแค้นใจ แม้ว่าจะเดินออกไปไกลแล้วแต่ทุกคนในห้องโถงก็ยังได้ยินเสียงของอู๋ซื่อที่ด่าหานโม่ว่าเป็คนไร้ค่าอยู่เลย
เว่ยซื่อและจางซื่อเองก็ไม่ได้สนใจที่จะมาคอยเล่นเล่ห์ใส่กันแล้ว ทั้งคู่พาบุตรสาวของตนเดินออกไปเช่นกัน
ในระหว่างทางกลับเรือน หานเซียงเหลือบมองไปที่อี๋เหนียงของนางแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงอันเบาว่า "อี๋เหนียง ท่านพ่อตามใจหานโม่ขนาดนี้ เป็เพราะผลึกิญญาของนางหรือเ้าคะ?"
เื่ราวในงานประมูลเดิมทีก็ไม่ได้ถูกปิดบังจากผู้นำตระกูลหานอยู่แล้ว ของดีเช่นนี้ต่างเป็ที่้าของทุกคนทั้งสิ้น
จางซื่อพยักหน้า “แน่นอน ท่านพ่อของเ้าเป็คนเช่นไรเ้าไม่รู้เลยงั้นหรือ? ปกติเขามักจะลำเอียงเข้าข้างบรรดาลูกๆ ของฮูหยินใหญ่อยู่แล้ว มาวันนี้เขาไม่รักษาหน้านางถึงเพียงนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอยู่ๆ เขาเพิ่งจะพบว่าหานโม่นั้นดีกว่าคนอื่นเพียงอย่างเดียวแน่”
หานเซียงยิ้ม "ถ้าพูดถึงเื่นี้ หานโม่เองก็มีความสามารถยิ่งนักนะเ้าคะ ไม่คิดเลยว่านางจะสามารถเอาเซียนหลิงเฉ่าไปแลกเปลี่ยนเป็ผลึกิญญาจำนวนมากมาได้"
ใบหน้าของจางซื่อยังคงงดงามและน่าหลงใหล ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมากระทบใบหน้าด้านข้างของนางนั้นขับให้ยิ่งงดงามมากขึ้นจนไม่น่าเชื่อ
อย่างไรก็ตามในเวลานี้หากมีใครได้สบกับดวงตาของจางซื่อแล้วล่ะก็ จะต้องเห็นอย่างแน่นอนว่าภายใต้แสงจันทร์แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความร้ายกาจที่ล้ำลึกยิ่งนัก
“หากนางมีความสามารถเช่นนั้นก็ต้องมีความสามารถในการรักษามันไว้เช่นกัน ลูกเอ๋ย จำคำของอี๋เหนียงไว้ ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง [4] จงอย่าเป็คนแรกที่ล้มเลิก"
หานเซียงพยักหน้า "เ้าค่ะ ลูกจะจำไว้"
อีกด้านหนึ่ง เว่ยซื่อและบุตรสาวก็กำลังพูดคุยถึงเื่นี้อยู่เช่นกัน
หานเยว่ไม่เข้าใจว่าทำไมเว่ยซื่อถึงได้ยื่นมือออกมาช่วยพูดแทนหานโม่ เมื่อเห็นว่ารอบตัวมีแต่ผู้ที่วางใจได้แล้วนางก็เอ่ยถามออกมาตรงๆ ทันที
เมื่อเว่ยซื่อได้ยินคำถามของบุตรสาว นางก็หัวเราะออกมา "เหตุใดข้าถึงช่วยพูดแทนหานโม่งั้นหรือ? ประการแรกข้า้าทำให้อู๋ซื่อต้องอับอาย อย่างที่สองแน่นอนว่าเป็เพราะนางมีของดีอยู่ในมืออย่างไรเล่า"
หานเยว่เลิกคิ้ว "อี๋เหนียงกำลังพูดถึงผลึกิญญาที่นางอยู่งั้นหรือเ้าคะ?"
เว่ยซื่อพยักหน้า
หานเยว่สงสัยอยู่เล็กน้อย "ตระกูลหานเองก็ไม่ได้ขาดแคลนผลึกิญญานี่เ้าคะ เหตุใดทุกคนถึงพากันจับจ้องสิ่งที่นางถือครองอยู่กัน?"
เว่ยซื่อยิ้มพลางตบแขนหานเยว่เบาๆ "นี่ก็คือสิ่งที่เ้ายังไม่เข้าใจ ตระกูลหานก็เป็เช่นนี้ พวกเขาจะยอมรับคนไร้ค่าที่อยู่ๆ ก็นำสิ่งของมาแล้วโผบินขึ้นเหนือท้องนภา [5] ได้หรือ? ท่านพ่อของเ้าเป็คนโง่หรือ? เหตุใดถึงต้องตามใจหานโม่ขนาดนั้นกันเล่า? สิ่งที่นางพูดในวันนี้เ้าก็ได้ยินแล้ว แต่ละสิ่งนั้นล้วนกล่าวหาว่าในอดีตตระกูลหานปฏิบัติต่อนางไม่ดีและการที่นางเกลียดชังตระกูลหานมากเช่นนี้ท่านพ่อของเ้าจะไม่รับรู้เลยเชียวหรือ? "
........................................................................
เชิงอรรถ
[1] เงียบเหมือนไก่ หมายถึง หุบปากเมื่อควร และพูดให้น้อยลงเมื่อไม่ควร
[2] ฆ่านกสามตัวด้วยหินก้อนเดียว หมายถึง ลงทุนครั้งเดียวได้ผลกำไรหลายทาง
[3] อี๋เหนียง หมายถึง เป็คำที่ลูกหลานใช้เรียกอนุภรรยาของพ่อ
[4] ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง อุปมาว่า มองเห็นแต่สิ่งที่จะได้อยู่ข้างหน้า แต่หารู้ไม่ว่ายังมีภัยมหันต์กำลังจะตามมา
[5] โผบินขึ้นเหนือท้องนภา หมายถึง ่เวลาปกติไม่มีอะไรพิเศษ แต่อยู่ๆ ก็ได้บรรลุผลสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ในคราวเดียว
