“เช่นนั้นพวกเราก็หาคนเช่าที่มาเพิ่มอีก?”
“ไม่ได้ ถ้ามีคนเช่าที่มากขึ้น ที่ดินก็จะไม่พอให้เพาะปลูก” หลี่ซานเห็นว่าลูกสาวยังมีสีหน้าไม่เข้าใจ จึงอธิบายอย่างอดทนว่า “ค่าเช่าของบ้านเราเหมือนกับ บ้านอื่นๆ คือ เก้าในสิบส่วนของผลเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง คนเช่าที่จะเก็บไว้ได้เพียงแค่หนึ่งส่วน เมื่อคำนวณจากยอดเก็บเกี่ยวในแต่ละปี ที่ดินหนึ่งหมู่ได้ข้าวสาลีสองร้อยชั่ง หลังจากคนเช่าที่จ่ายค่าเช่าให้บ้านเราแล้วก็จะได้ยี่สิบชั่ง ที่ดินสิบหมู่ก็จะได้แค่สองร้อยชั่ง และนี่เป็ข้าวสาลีไม่ใช่แป้งหมี่[1] ข้าวสาลีสองร้อยชั่งเอามาป่นทำแป้งหมี่ดำได้หนึ่งร้อยเจ็บสิบชั่ง เป็อาหารสำหรับหนึ่งคนในหนึ่งปีเท่านั้น พวกเขาแต่ละครอบครัวทั้งชาย หญิง เด็ก คนชรา รวมกันแล้วก็มีถึงหกเจ็ดคน ฉะนั้นแต่ละครอบครัวต้องเพาะปลูกในที่ดินหกสิบหมู่จึงจะพอกิน”
หลี่หรูอี้นึกไม่ถึงว่าการเพาะปลูกต้องมีหลักการมากมายเพียงนี้
ในโลกก่อน มีผลผลิตต่อที่ดินหนึ่งหมู่สูงมาก แต่ในโลกนี้ผลผลิตต่อที่ดินหนึ่งหมู่กลับต่ำมาก เกษตรกรจึงมีชีวิตอย่างยากลำบาก พวกคนเช่าที่ยิ่งลำบากมากกว่า
“ลูกรัก ที่ดินหกสิบหมู่ได้ข้าวสาลีหนึ่งพันสองร้อยชั่ง พอมาป่นเป็แป้งหมี่ดำได้หนึ่งพันชั่ง จึงจะพอกินสำหรับคนเช่าทั้งครอบครัว”
“ในครอบครัวคนเช่าที่ก็ไม่ได้มีแค่คนที่โตแล้ว ยังมีเด็กเล็กด้วย ซึ่งเด็กเล็กๆ กินไม่ได้มากมายนี่เ้าคะ”
“มีเด็กเล็กนั้นจริงอยู่และเด็กก็กินไม่มาก แต่ข้าวสาลีที่คนเช่าที่ได้มาไม่อาจเอามากินได้ทั้งหมด ยังต้องเอาไปขายเพื่อแลกเปลี่ยนเป็ของกินของใช้อย่างอื่น เช่น เกลือและผ้า”
หลี่หรูอี้คำนวณในใจคราวหนึ่ง แป้งหมี่ดำหนึ่งชั่งขายไม่ถึงสองอีแปะ แป้งหมี่ดำหนึ่งพันสองร้อยชั่ง ก็จะได้เงินสองตำลึง
คนเช่าที่ทั้งครอบครัวทั้งเด็กเล็กและคนชรา เพาะปลูกในที่ดินหกสิบหมู่ต้องยุ่งอยู่ตลอดปี เหน็ดเหนื่อยจนแทบกระอักเื หากมาเจอปีที่อุดมสมบูรณ์ก็จะได้เงินแค่สองตำลึง แต่หากเป็ปีที่แห้งแล้งก็จะย่ำแย่ไปอีก คาดว่าจะได้เงินไม่กี่ร้อยอีแปะเท่านั้น
แต่พวกคนเช่าที่ก็ต้องกินข้าว จึงไม่สามารถขายข้าวสาลีทั้งหนึ่งพันสองร้อยชั่งไปจนหมด ต้องเก็บเอาไว้เป็คลังอาหารด้วย เมื่อเป็ดังนี้ก็แทบจะไม่เหลือเงินแม้แต่น้อย ถ้ารวมถึงระหว่างนั้นมีคนเจ็บป่วยอีกก็จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ นอกจากไม่เหลือเงินยังต้องไปยืมเงินจากเ้าของที่ดินอีกด้วย
หลี่หรูอี้ไม่เคยพบคนเช่าที่ดินของบ้านตน และไม่รู้ว่าพวกเขาต้องมีชีวิตอยู่เช่นไร แต่ก็เคยได้ยินมาว่า ครอบครัวคนเช่าที่ในหมู่บ้านข้างเคียงยากจน กระทั่งเด็กผู้ชายอายุเก้าปีแล้วก็ยังเปลือยก้นไม่มีกางเกงใส่ เด็กผู้หญิงอายุสิบห้าปีปักปิ่นแล้ว แต่ตัวยังเตี้ยกว่านางเสียอีก
ดูเหมือนว่าคนเช่าที่มีอิสระมากกว่าคนเป็บ่าวก็จริง แต่กลับมีชีวิตอยู่อย่างน่าเวทนานัก
“ท่านพ่อเ้าคะ บ้านอื่นเมื่อให้คนเช่าที่ดินก็ต้องให้สัตว์ไปใช้ด้วยหรือไม่เ้าคะ”
“มีให้ คนเ่าั้มีบ้านเรือนและกิจการใหญ่โต จึงเลี้ยงสัตว์ใหญ่ไว้จำนวนมาก”
หลี่หรูอี้เอ่ยช้าๆ ว่า “่เวลานี้เมื่อปีก่อน บ้านเราก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกคนเช่าที่สักเท่าใด พอมาเริ่มทำการค้าตอนฤดูใบไม้ร่วงจึงค่อยๆ ดีขึ้นมาเล็กน้อย จนมาถึงฤดูหนาวได้เงินรางวัลของจวนเยี่ยนอ๋อง บ้านเราจึงสามารถไปซื้อที่ดินที่ตัวอำเภอได้ เวลานี้บ้านเราก็ร่ำรวยกว่าคนในหมู่บ้านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“ใช่” หลี่ซานถอนหายใจยาวๆ เริ่มสำนึกเสียใจที่ตนเองละโมบซื้อที่ดินมากมายเกินไป
หากฟังคำภรรยาและบุตรสาวไม่ซื้อที่ดินมากมายแต่แรก ก็จะไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้แล้ว
แต่ว่าที่ดินที่ซื้อเมื่อคราวก่อนก็ถูกมากจริงๆ เฮ้อ... ตอนนี้ก็ซื้อแล้วให้เช่าไปแล้ว ถ้าไม่ไปซื้อสัตว์ใหญ่มา คนเช่าที่ไถนาไม่หมดก็จะคืนที่ดินกลับมาอีก
หรือว่าเขาต้องขายที่ดินเสียแล้ว?
ราคาที่ดินตอนนี้สูงกว่าครั้งฤดูหนาว เพียงแต่เมื่อเขาขายที่ดินไปแล้ว พวกคนเช่าที่ไม่มีที่ดินให้เพาะปลูกก็จะต้องหิวตาย
ยามที่ภาพของดวงตาแต่ละคู่ของคนเฝ้าที่ที่ปรารถนาจะได้มีชีวิตต่อไปลอยขึ้นมาในหัว เขาก็รู้สึกเศร้าใจนัก
เขาเป็คนยากจนโดยกำเนิด ย่อมรู้ดีว่าการที่คนยากจนไม่มีที่ดินทำกิน จะมีชีวิตอยู่ในใต้หล้านี้อย่างลำบากยากเข็ญเพียงใด
เขาไม่อยากกลายเป็ฆาตกรฆ่าคน ทำให้คนเช่าที่เ่าั้ต้องตาย
หลี่หรูอี้เห็นว่าดวงตาของหลี่ซานแดงก่ำขึ้นมาแล้ว จึงปลอบว่า “ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ต้องมีหนทางแน่เ้าค่ะ”
หลี่ซานเอามือหนาๆ ของตนถูกัน ถามขึ้นว่า “ลูกรัก ไม่เช่นนั้น ใน่ที่ต้องไถนาในฤดูใบไม้ผลิไม่กี่วันนั้น ก็เอาลาสามตัวที่ใช้โม่ถั่วไปไถนาก่อน” พูดจบใบหน้าของเขาก็ยิ่งแดงก่ำมากขึ้นไปอีก
แต่แรกที่หลี่หรูอี้ได้ตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงจากจวนเยี่ยนอ๋อง หลี่ซานก็ขอตั๋วเงินจากหลี่หรูอี้อย่างเอาเป็เอาตาย เพื่อจะเอาไปซื้อที่ดิน แต่ครานี้ยังไม่ทันได้ไถนาก็มาเจอปัญหาเสียแล้ว และยังต้องมาขอยืมลาจากหลี่หรูอี้อีก
“หา...? ข้าจะไปทำยาแล้ว ท่านก็ค่อยๆ ลองคิดดูดีๆ นะเ้าคะ” หลี่หรูอี้แสร้งทำเป็ไม่ได้ยิน แล้วลุกขึ้นเดินจากไป ขณะที่หลี่ซานหันมองตามบุตรสาวไปด้วยสายตาที่ว้าวุ่นใจ
ลาลากโม่ทำงานหนักมากแล้ว หากไปไถนาก็ยิ่งลำบากกว่า ลาสามตัวไถนาหนึ่งร้อยกว่าหมู่จนหมดจะต้องพักกี่วัน เมื่อนับรวมทั้งก่อนหลังก็ต้องหยุดพักถึงสิบวัน
เวลานี้ครอบครัวอาศัยโรงเต้าหู้หาเงิน จะให้กระทบกับการค้าไม่ได้แม้สักวัน อีกประการ หลายสิบครอบครัวในหมู่บ้านหลี่ก็ยังต้องอาศัยเต้าหู้ของสกุลหลี่เพื่อนำไปขาย
หากสกุลหลี่หยุดงานไปสิบวัน ไม่ใช่แค่บ้านตนจะเสียหายเท่านั้น อีกหลายสิบครอบครัวในหมู่บ้านหลี่ก็ต้องพลอยเสียรายได้ตามไปด้วย
หลี่หรูอี้กลับมาที่ห้องนอนของตน ได้ยินเสียงฝีเท้าแสนคุ้นเคยจากนอกหน้าต่าง นั่นเป็เสียงฝีเท้าของจ้าวซื่อ
ไม่ว่าจ้าวซื่อจะปลอบหลี่ซานอย่างไร หลี่ซานก็ยังคงอารมณ์ไม่ดี ตอนเย็นจึงกินข้าวไปเพียงน้อยนิด แล้วเขาก็เข้านอน
หลี่เจี้ยนอันถามอย่างเป็กังวลว่า “ท่านแม่ขอรับ ท่านพ่อเป็อันใดไปหรือ”
“พ่อของเ้าเสียใจที่ซื้อที่ดินมากเกินไป” จ้าวซื่อส่ายหน้าช้าๆ เื่ของหลี่ซานนั้น ถ้ายอมตามใจให้เงินเขาไปซื้อสัตว์ใหญ่ วันหน้าเขาก็จะยังคงตะบี้ตะบันซื้อที่ดินอีก แต่ถ้าไม่ตามใจไม่ให้เงินเขา พอเขาขาดทุนก็จะได้หลาบจำ เวลาจะซื้อที่ดินอีกก็จะได้คำนึงถึงกำลังของตนด้วย
หลี่ฝูคังวางกีบหมูพะโล้ในมือลงและบอกว่า “บ้านเราซื้อที่ดินมากเกินไปแล้ว คำนี้มิใช่ข้าพูดเอง เป็พี่เจียงบอก”
จ้าวซื่อนึกไม่ถึงว่าเจียงชิงอวิ๋นเป็ถึงคุณชายผู้สูงศักดิ์ผู้หนึ่ง แต่กลับเข้าใจเื่การเพาะปลูกด้วย จึงถามไปด้วยความอยากรู้ยิ่งว่า “ชิงอวิ๋นบอกว่าอย่างไรบ้าง”
หลี่ฝูคังเป็คนที่มีความจำดีเลิศ จึงตอบว่า “พี่เจียงบอกว่า ที่นาดีทางตอนเหนือให้ผลเก็บเกี่ยวน้อยกว่าทางใต้มาก ซ้ำยังมักมีภัยแล้ง พืชพันธุ์ที่เพาะปลูกได้หลังจากจ่ายภาษีที่นาแล้วก็เหลืออยู่เพียงน้อยนิด บ้านเราต้องส่งเสียลูกชายหกคนเรียนหนังสือ มีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงไม่อาจคาดหวังเงินทองจากการซื้อที่ดินไว้เพาะปลูกได้ เมื่อซื้อที่นาดีมาได้ก็แค่รู้สึกอุ่นใจเท่านั้น ตามฐานะของครอบครัวเรา ที่ดินห้าสิบหมู่ก็เพียงพอแล้วขอรับ”
จ้าวซื่อชื่นชมเจียงชิงอวิ๋นอยู่ในใจว่า ไม่เพียงมีความรู้ แต่ยังเข้าใจเื่ทั่วๆ ไปอีกด้วย คุณชายผู้สูงศักดิ์ที่ถูกอบรมเลี้ยงดูมาจากบ้านเรือนชั้นตระกูลใหญ่ช่างแตกต่างกับคนทั่วไปจริงๆ ถ้าบุตรชายทั้งหกคนของตนมีความรอบรู้ได้สักสามส่วนของเจียงชิงอวิ๋นก็คงจะดี
หลี่อิงฮว๋าเสริมว่า “ท่านแม่ขอรับ พี่เจียงยังบอกอีกว่า บ้านเราควรไปซื้อร้านค้าในตัวเมืองเยี่ยน แม้ร้านค้าจะแพง แต่เพราะค่าเช่าราคาสูงจึงยังคุ้มค่าขอรับ”
จ้าวซื่อถอนใจเบาๆ อย่างจนใจ บอกไปว่า “เื่นี้น้องสาวของพวกเ้าก็เคยบอกกับแม่และพ่อเ้ามานานแล้ว แต่แม่ก็ทำให้พ่อเ้าเห็นด้วยไม่ได้ พวกเ้าไปบอกเื่นี้ให้พ่อเ้าฟังสักหน่อยเถิด”
หลี่ฝูคังส่ายหน้า “ท่านแม่ขอรับ พวกเราก็เคยบอกกับท่านพ่อนานแล้วเช่นกันขอรับ”
คิ้วงามของหลี่หรูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อย พลางมองจ้าวซื่อ แล้วเอ่ยว่า “ทั้งคำพูดของท่าน ของพวกเราพี่น้อง และของพี่เจียง ท่านพ่อก็ยังไม่ฟังอยู่ดีเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อพูดเบาๆ “พ่อเ้าซื้อที่ดินเป็ถูกผีเข้าสิงแล้ว เฮ้อ... ให้เขาไปคิดเองให้ดีๆ เถิด ดูซิว่าจะมีหนทางใดหรือไม่”
หลี่ิ่หานอดกลั้นอยู่พักใหญ่แล้ว ที่สุดก็อดถามไม่ได้ว่า “ท่านแม่ขอรับ หากท่านพ่อไม่พอใจ แล้ววันพรุ่งพวกเราพี่น้องยังจะได้ไปที่ตัวเมืองเยี่ยนอีกหรือไม่ขอรับ” วันพรุ่งสำนักเล่าเรียนในตัวอำเภอปิดเรียน เพราะหิมะบนถนนหลวงยังไม่ละลาย
จ้าวซื่อกวาดตามองบุตรชายบุตรสาว สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความคาดหวัง ก่อนจะเอ่ยเสียงละมุนว่า “ไปสิ พวกเ้าก็ไปของพวกเ้า”
หลี่ิ่หานพูดอย่างปลื้มปริ่ม “ท่านแม่ใจดีเหลือเกิน”
หลี่หรูอี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันทุกคน”
“ข้าจะไปบอกท่านพ่อสักคำ” ปีก่อนหลี่เจี้ยนอันเคยไปในตัวเมืองเยี่ยนกับหลี่ฝูคังแล้ว ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าเรียนที่สำนักเล่าเรียน เขาสวมเสื้อผ้าที่มีแต่รอยปะชุนเต็มไปหมด ยามมองผู้คนในตัวเมืองเยี่ยนที่สวมเสื้อผ้าต่วนเนื้อลื่นก็ให้รู้สึกสะท้อนใจเสียอย่างยิ่ง ครานี้ได้เข้าเรียนในสำนักเล่าเรียนกลายเป็คนมีการศึกษาแล้ว ฐานะทางบ้านก็ดีขึ้นอย่างมาก จึงอยากไปเปิดหูเปิดตาไปเห็นความเจริญรุ่งเรืองของที่นั่นอีกสักคราว
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] แป้งหมี่ หรือแป้งสาลี ทำจากข้าวสาลี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้