1
ผมชอบต้นไม้
นั่นเป็สาเหตุที่ผมเลือกมาเรียนคณะเกษตรศาสตร์ ถึงแม้ว่าคะแนนของผมจะสูงลิ่วจนสามารถเข้าคณะโหด ๆ อย่างแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยดัง ๆ ได้เลยก็ตาม ใครหลายต่อหลายคนก็บอกว่าเสียดายที่ผมเลือกเรียนทางนี้ แต่ผมก็โชคดีที่ครอบครัวไม่ได้กดดันและคาดหวังในตัวผมสักเท่าไร ผมจึงได้เลือกทางเดินของตัวเองได้อย่างอิสระ
การได้เรียนรู้ในสิ่งที่ผมสนใจจริง ๆ ทำให้ผมค่อนข้างมีความสุขกับการเรียน แต่ในบางครั้งผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เสมอว่าจริง ๆ แล้วผมคิดถูกหรือเปล่าที่เลือกมาเรียนทางนี้ ผมชอบ ใช่ แต่มันดูไม่เหมาะกับผมเลยสักนิด
“นี่รอบที่เท่าไรแล้วเนี่ย มันไม่ขึ้นเลยเหรอวะ” เพื่อนสนิทของผมที่มีชื่อว่าขนุนเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถาม หลังจากที่ผมเล่าเื่ผักสลัดที่ผมปลูกไว้ให้มันฟัง ไม่ว่าผมจะเอาเื่นี้ไปเล่าให้ใครฟัง ทุกคนก็จะมีรีแอคชั่นแบบขนุนนี่แหละ
“รอบที่สี่แล้ว พรุ่งนี้จะไปปลูกรอบที่ห้า” ผมตอบกลับไปพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ถ้าเป็กูนะ ลาออกั้แ่รอบที่สองแล้ว”
“รอบนี้อาจจะขึ้นก็ได้”
“รอบที่แล้วมึงก็พูดแบบนี้”
“กูก็ต้องปลูกจนกว่ามันจะขึ้นไหมวะ”
อย่างที่บอก ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองเหมาะกับการเรียนคณะนี้จริง ๆ เพราะไม่ว่าผมจะปลูกอะไรก็ตาม ต้นไม้ก็ไม่เคยโตเลย หรือบางกรณีก็อาจจะโตมาถึงจุดหนึ่ง แล้วอยู่ดี ๆ ก็จะตายไปในที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะผมต้องปลูกส่งอาจารย์ ผมคงเลิกปลูกไปั้แ่รอบแรกแล้วล่ะ คงไม่มานั่งเครียดจนปวดหัวอยู่แบบนี้
“หรือว่ามันจะมีคนแกล้งมึงวะ ทานตะวัน” ขนุนขยับเข้ามาใกล้ผมและพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง พลางหันไปมองรอบ ๆ ตัวด้วยสีหน้าที่สงสัย ซึ่งตอนนี้เรากำลังนั่งอยู่ในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กในคณะเกษตรฯ
“ไม่น่านะ”
“ก็มันแปลกอะ คนอะไรจะปลูกต้นไม้สี่ห้ารอบแล้วไม่ขึ้นเลยสักรอบ”
“อาจจะเป็เพราะ่นี้หน้าร้อนด้วยหรือเปล่า ผักเมืองหนาวมันเลยโตยากกว่าปกติ อาจจะต้องรดน้ำให้บ่อยมากกว่านี้” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น
พืชที่ผมเลือกปลูกส่งอาจารย์คือผักสลัดที่มีชื่อว่าบัตเตอร์เฮด ที่ผมเลือกพืชชนิดนี้ก็เพราะว่าเวลาที่มันโตเต็มที่ ใบของมันจะเป็พุ่ม ๆ เหมือนดอกกุหลาบ เวลาปลูกเยอะ ๆ แล้วมันโตพร้อมกันมันดูสวยดี แถมยังอร่อยกว่าผักสลัดชนิดอื่น ๆ ด้วย แต่ปัญหาของมันก็คือมันเป็ผักที่ต้องปลูกในสภาพอาการที่ไม่ร้อนมากและแดดไม่จัด แต่แปลงผักของผมตั้งอยู่กลางแจ้ง มีแดดส่องถึงแทบจะตลอดทั้งวันเลย ผมก็ลืมนึกถึงตรงนี้ไป
“กูบอกแล้วให้มึงปลูกถั่วงอก ไม่เชื่อกู”
“กูปลูกถั่วงอกก็คงได้คะแนนแค่ห้าเต็มห้าสิบน่ะสิ”
“เออ งั้นมึงก็เชิญปลูกต่อไปเลยค่ะ”
“มาช่วยกูด้วย!”
“มันก็แน่นอนอยู่ละป่ะ ถ้ากูไม่ช่วยใครจะช่วยมึง แล้วเดี๋ยวถ้าจบงานนี้มึงต้องมาช่วยกูปลูกข้าวโพดด้วยนะเว้ย กูจะใช้งานมึงให้หนักเลยค่ะ!” ขนุนตอบกลับเสียงดังพร้อมกับยกนิ้วขึ้นชี้หน้าผม ทำให้เราทั้งสองคนกลายเป็จุดสนใจในห้อง แม้แต่อาจารย์ก็ยังหยุดสอนและมองมาทางพวกเราด้วย
“ขอโทษครับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปพูดกับอาจารย์ก่อนจะหันมาตีแขนขนุนเบา ๆ แต่ก็ต้องขอบคุณมันที่คอยมาช่วยผมถึงแม้จะไม่ใช่งานตัวเองก็ตาม สี่ครั้งที่ผ่านมาผมก็ได้มันนี่แหละที่มาคอยช่วยปลูกตลอด
ผมกับขนุนสนิทกันมาั้แ่ปีหนึ่ง เราเรียนคลาสเดียวกันตลอดทั้งปี จนกระทั่ง่ขึ้นปีสองเป็่ที่ต้องเรียนแยกภาควิชาตามที่เลือก ผมเลือกเรียนภาคพืชผักเพราะมันดูเหมือนจะง่ายที่สุด แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่คิดเลย ส่วนขนุนเลือกเรียนภาคพืชสวน เทอมนี้พวกเราเลยได้เรียนด้วยกันแค่บางวิชาเท่านั้น
หลังจากที่เราเรียนกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมกับขนุนก็แยกกันไปทำงานที่ภาคของแต่ละคน แล้วพอตอนเย็นเราก็จะมาเจอกันเพื่อกลับหอพร้อมกัน ผมกับขนุนอยู่หอใกล้ ๆ กัน ก็เลยจะกลับด้วยกันเป็ประจำ ถ้าวันไหนผมเลิกช้ากว่า มันก็จะรอจนกว่าผมจะเลิก แล้วก็ชอบบังคับให้ผมรอถ้าวันไหนมันเลิกช้ากว่า
ผมเดินเข้ามาในห้องของภาคพืชผักที่เป็เหมือนห้องเก็บของที่ใช้ในการเรียน และก็เป็ห้องที่เอาไว้สำหรับพักผ่อนหรือนั่งทำงาน ผมไม่ค่อยได้มาใช้ห้องนี้เท่าไร เพราะส่วนใหญ่จะเป็รุ่นพี่ซะมากว่าที่ใช้กัน
งานที่ผมจะต้องมาทำวันนี้เป็งานกลุ่มของวิชาหนึ่งที่ทำกันสี่คน ตอนแรกผมก็กลัวว่าตัวเองจะไม่มีกลุ่มอยู่ เพราะผมไม่มีเพื่อนในภาคนี้เลยสักคน แต่ก็มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่เป็ผู้หญิงทั้งสามคนมาชวนผมไปอยู่ด้วย วันนี้เราเลยนัดเจอกันที่ห้องภาคก่อน แล้วจึงค่อยลงไปทำงานในฟาร์มที่อยู่ข้าง ๆ กับตึกของคณะ
“ฮัลโหล น้อยหน่า เรามาที่ห้องภาคแล้วนะ พวกแกอยู่ไหนกันเหรอ” ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนคนหนึ่งที่ทำงานกลุ่มร่วมกัน หลังจากที่ผมนั่งรอมาราว ๆ ยี่สิบนาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครมาเลยสักคน
[“โทษทีว่ะแก พวกเราติดซ้อมหลีดอะ”]
“อ้าว”
[“นี่น่าจะซ้อมกันจนถึงเย็นเลยแก”]
“เลื่อนไปทำวันอื่นไหม”
[“งั้นเอางี้ดีไหม วันนี้แกก็ทำไปก่อนบางส่วน แล้วเดี๋ยววันอื่นเรากับเพื่อนจะไปทำต่อเอง ไม่อยากให้แกต้องมานั่งรอเราอะ ไม่งั้นงานก็ไม่ได้เริ่มสักที เผื่อแกมีงานอื่นจะต้องไปทำด้วย”]
“เอาแบบนั้นก็ได้ งั้นวันนี้เราปรับปรุงดินก่อนนะ”
[“ขอบใจมากนะแก”]
หลังจากวางสายจากน้อยหน่าไป ผมก็เริ่มเดินวนไปรอบ ๆ ห้องเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเริ่มทำอะไรก่อนเป็อย่างแรก งานที่พวกเราต้องทำคือการปลูกผักชนิดหนึ่ง โดยจะต้องห้ามใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีในการปลูกเลย ซึ่งคนที่ชอบกินผักหรือผลไม้สีสวย ๆ อย่างผมก็ถือว่าพลาดมากที่มาลงเรียนวิชานี้
ภายในห้องภาคจะมีการแบ่งเป็สัดส่วนอย่างชัดเจน คือส่วนที่เป็ที่เก็บอุปกรณ์ และส่วนที่เป็โต๊ะสำหรับการนั่งทำงานหรือการนัดประชุมต่าง ๆ เพราะผมมาที่นี่แทบจะนับครั้งได้ ผมจึงค่อย ๆ เดินหาของไปทีละอย่าง
“น้อง ทำอะไร” เสียงทุ้มต่ำของคนบางคนดังขึ้นที่ด้านหลังของผม เป็น้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนจะตะคอกนิด ๆ จนทำให้ผมต้องรีบหันกลับไปมอง แต่เพราะคนพูดยืนอยู่ใกล้ผมมากจนทำให้หน้าผมชนกับหน้าอกเขาเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย พี่” ผมยกมือขึ้นลูบจมูกตัวเองก่อนจะเงยหน้าสบตากับร่างสูงที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าผมด้วยแววตาที่เรียบเฉย ใบหน้าที่ดูหล่อจนโดดเด่นทำให้ผมจำเขาได้ในทันที
พี่ปรง
เขาเป็พี่ปีสี่ที่เรียนภาคเดียวกันกับผม แถมยังเป็คนที่เป็ที่ชื่นชอบของรุ่นน้องหลาย ๆ คนด้วย พี่ปรงเป็คนที่ตัวสูงมากและหน้าตาก็ดีมาก แต่ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่ผมเจอหน้าเขา พี่ปรงแทบจะไม่เคยยิ้มเลย
“พี่ถามว่าน้องมาทำอะไร” เขาถามย้ำอีกครั้ง
“ผะ…ผมมาเอาของครับ”
“จะลกทำไม”
คือผมไม่ได้มาขโมยของนะ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมพอสบตากับแววตาดุ ๆ ของเขาแล้วผมถึงได้พูดติด ๆ ขัด ๆ แถมยังดูลก ๆ ลน ๆ เหมือนคนมีพิรุธทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักหน่อย
“พี่น่ากลัว”
“ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัว”
ก็รู้ แต่การยืนกอดอกแล้วมองผมด้วยสายตาแบบนั้นมันโคตรจะน่ากลัวเลยครับพี่ แถมเวลาพูดยังใช้น้ำเสียงดุ ๆ อีก จะไม่ให้ผมกลัวได้ยังไงกันล่ะ
“พอดีผมจะมาเอาของไปใช้ทำงานน่ะครับ ของวิชาเกษตรอินทรีย์” ผมพยายามตั้งสติและตอบกลับไปให้ดูปกติที่สุด ร่างสูงตรงหน้าผมก็ยังคงมองผมด้วยสายตาดุ ๆ เหมือนเดิม
“จะเอาอะไรบ้าง”
ผมหยิบกระดาษในกระเป๋าสะพายออกมาคลี่ออกและไล่อ่านข้อความที่ตัวเองจดเอาไว้ แต่ต้องยกมือขึ้นมากุมขมับเพราะผมอ่านสิ่งที่ตัวเองจดมาไม่ออกเลย เป็เพราะว่าตอนที่อาจารย์บอกสิ่งของที่จะต้องใช้ เขาพูดเร็วมากจนผมต้องรีบจดตามให้ทัน ผลที่ได้ก็คือลายมือยึกยืออย่างที่เห็นตอนนี้
อยากเขกกบาลตัวเองสักร้อยครั้ง
“น่าจะปูนขาวนะครับ” ผมพยายามแกะลายมือของตัวเองที่เป็เส้น ๆ พันไปจนอ่านออกมาเป็คำไม่ได้ แต่เหมือนจำได้ลาง ๆ ว่าต้องใช้ปูนขาว ผมเลยตอบกลับพี่ปรงไปแบบนั้น
“น่าจะ? แล้วถ้ามันไม่ใช่ล่ะ”
พอพี่ปรงพูดมาแบบนี้ ผมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ามันใช่หรือไม่ใช่ ผมไม่สามารถหวังพึ่งสิ่งที่ตัวเองจดมาได้แล้ว ผมจึงเอ่ยถามเขาออกไปตรง ๆ และนั่นก็ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
“ผมต้องใช้อะไรบ้างเหรอครับพี่”
“น้องมาถามพี่แล้วพี่จะไปถามใคร”
อ้าว พี่เขากวนตีนผมหรือเปล่าเนี่ย
“ผมไม่แน่ใจว่าใช่ปูนขาวหรือเปล่า พอดีผมจดมาแล้วมันอ่านไม่ออกน่ะครับ” ผมยื่นกระดาษของตัวเองให้พี่เขาดู แต่เขาก็ไม่ได้เลื่อนสายตาลงมามองเลยแต่น้อย เอาแต่จ้องหน้าผมอยู่นั่น
“ปูนขาวอยู่ชั้นบนสุด”
“ขอบคุณครับ”
“ต้องใช้เท่าไร”
“…” ผมนิ่งไป ก่อนจะหยิบกระดาษใบเดิมขึ้นมาคลี่อ่านอีกครั้ง ผมไล่อ่านไปเรื่อย ๆ เพื่อหาข้อความที่เป็ตัวเลข แต่ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ลายมือผมตอนรีบ ๆ นี่มันแย่จนเหมือนใช้เท้าเขียนเลยก็ว่าได้
“ยังจะหยิบขึ้นมาอ่านอีก มันอ่านออกหรือไง” พี่ปรงดึงกระดาษใบนั้นออกไปจากมือผมและพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น ใจของผมเต้นตึกตักเพราะกลัวว่าพี่เขาจะตบกบาลผมหรือเปล่า
“ผมไม่รู้อะพี่”
สุดท้ายผมก็ตอบกลับไปแบบนั้น ทำไมผมต้องกลัวเขามากขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่เดินสวนกับเขาหรือต้องเจอหน้าเขา ผมก็จะพยายามทำตัวให้เล็กที่สุด เขาหน้าตาหล่อนะ แต่ก็หน้าโหดด้วยเหมือนกัน
“จะใช้ก็หยิบไป”
“แล้วสรุปผมต้องใช้เท่าไรเหรอครับ”
“เื่อะไรจะบอก อยากรู้ก็ไปหาข้อมูลเองดิ”
โอเค พี่เขากวนตีนผมแล้วแหละ
ผมหมุนตัวกลับมาทางเดิมเพื่อหลบหลีกจากสายตาดุ ๆ ของเขาที่ส่งมาอย่างไม่ลดละ เงยหน้าขึ้นมองชั้นเก็บของที่สูงจนเกือบชนเพดาน ก่อนจะมานั่งคิดกับตัวเองว่าผมจะหยิบของจากชั้นบนสุดได้ยังไง
พี่ปรงเดินหนีไปที่อีกมุมหนึ่งของห้อง พอผมหันไปมองก็พบว่าเขากำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องนี้ด้วยเหมือนกัน อาจจะนั่งมาั้แ่แรกแล้ว แต่ผมไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลย
ตอนนี้ผมต้องเลิกสนใจรุ่นพี่คนนั้นก่อน ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อหาของที่ผมจะสามารถขึ้นไปเหยียบและยืดตัวขึ้นไปหยิบของบนชั้นได้ ก่อนที่สายตาของผมจะไปสะดุดเข้ากับกล่องลังไม้อันหนึ่งที่วางซ้อนกันอยู่เป็สิบ ๆ อัน มันสูงมากและแข็งแรงมากพอที่ผมจะขึ้นไปเหยียบได้
“อย่าแม้แต่จะคิดเอาลังไม้ไปเหยียบนะ” เสียงเดิมของพี่ปรงะโมาจากอีกมุมหนึ่งของห้องจนผมที่กำลังจะยกลังไม้ก็ต้องสะดุ้งตัวโยน ผมรีบปล่อยมือจากลังไม้แล้วหันไปมองเขาด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
เอาล่ะ ผมเริ่มจะไม่ชอบเขาแล้วสิ
“เอะอะโวยวายอะไรกัน” เสียงปริศนาของใครบางคนดังขึ้นพร้อมกับเสียงปิดประตูที่ดังมาจากด้านหน้าห้อง ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้อง เขาหันมาสบตากับผมก่อนจะส่งยิ้มมาให้
เขาคือพี่อูน เป็รุ่นพี่อีกคนในภาคที่ผมเคยเห็นหน้าอยู่บ่อย ๆ เขาเป็อีกคนที่รุ่นน้องชื่นชอบเพราะเขาเป็คนที่ทั้งน่ารักและใจดีมาก ๆ เรียกว่าเป็ขั้วตรงข้ามของพี่ปรงเลยก็ว่าได้ รายนั้นนอกจากจะไม่ค่อยยิ้มแล้วยังชอบทำหน้าบูดใส่น้องอีก
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้รุ่นพี่คนที่เพิ่งมาใหม่ตามมารยาท พี่อูนรับไหว้แล้วเดินตรงเข้ามายังจุดที่ผมยืนอยู่ เขานำของที่เขาถือมาด้วยเก็บใส่ชั้นและหันมาส่งยิ้มให้ผม
ทำไมพี่เขายิ้มเก่งจัง
“มาทำอะไรเหรอ” พี่อูนเอ่ยถามหลังจากที่เขาเก็บของเสร็จแล้ว แต่เขาเห็นว่าผมยังคงยืนอยู่ที่หน้าชั้นและเงยหน้าขึ้นไปมองชั้นบนสุดด้วยสีหน้าที่หมดอาลัยตายอยากสุด ๆ
“ผมมาเอาปูนขาวครับ”
“เดี๋ยวพี่หยิบให้นะ”
พี่อูนเขย่งเท้าขึ้นไปคว้าถุงพลาสติกที่บรรจุผงสีขาว ๆ อยู่ด้านในออกมาจากชั้นบนสุดก่อนที่จะยื่นถุงนั้นมาให้ ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรุ่นน้องถึงชอบพี่อูน เพราะเขาใจดีกับรุ่นน้องแบบนี้ไง ไม่เหมือนใครบางคน
“ขอบคุณนะครับพี่”
“น้องจะเอาไปทำอะไร มีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า”
“พี่อูนรู้ไหมครับว่ามันต้องใส่ปูนขาวในดินเท่าไร” ผมเอ่ยถามเขาในขณะที่สายตาก็เลื่อนไปมองพี่ปรงที่นั่งอยู่ที่เดิม เขากำลังมองมาทางนี้อยู่พอดี แต่พอเห็นว่าผมหันไปมอง เขาก็ก้มหน้าลงไปทำงานต่อ
“ถ้าปลูกในกระถางก็ใช้ประมาณสามช้อน”
“ช้อนอะไรเหรอครับ”
“งั้นรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปหยิบช้อนมาให้”
“เอ่อ พี่อูนครับ…”
พี่อูนพูดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินหายออกไปจากห้องโดยที่ผมยกมือขึ้นห้ามไม่ทัน พี่อูนเขาดูมีใจอยากจะช่วยผมมาก ๆ จนผมไม่กล้าปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขาเลย ผมยืนรอพี่อูนอยู่ที่เดิมไม่ถึงห้านาที พี่อูนก็เดินกลับมาพร้อมกับช้อนอันเล็ก ๆ ที่เป็สแตนเลส เขายื่นมันมาให้ผมแล้วเอ่ยพูดกับผมต่อ
“มีอะไรให้พี่ช่วยบอกได้เลยนะ”
“ไม่เป็ไรครับ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะครับพี่อูน” ผมก้มหัวให้เขาเล็กน้อยแล้วหยิบของทุกอย่างขึ้นมาหอบเอาไว้เพื่อที่จะยกลงไปทำงานในฟาร์ม พี่อูนที่ยืนมองอยู่ก็หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู
“ให้พี่ช่วยดีกว่า ถือไปคนเดียวไม่ไหวหรอก” พี่อูนพูดพร้อมกับดึงของบางอย่างที่ผมกำลังกอดอยู่ไปถือไว้ และดึงออกไปอีกสองสามอย่างจนผมแทบจะไม่ได้ถืออะไรแล้ว
ผมหันไปสบตากับพี่อูนเพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่ผมจะหลบสายตาเขาไปทางอื่น อยู่ดี ๆ รอยยิ้มของเขาก็มีผลกับใจผมขึ้นมา ไม่รู้เป็เพราะความใจดีของเขาหรือความเอาใจใส่ ผมแอบยิ้มออกมาตอนที่เขาไม่ได้มองมาทางผม
“ไอ้อูน” ในขณะที่พี่อูนกับผมกำลังจะเดินออกจากห้องภาคเอไปทำงานในฟาร์ม เสียงของพญามารที่ผมลืมไปแล้วว่านั่งอยู่ในห้องด้วยก็ดังขึ้น เขาหันมามองทางผมและพี่อูนด้วยสายตานิ่ง ๆ แบบที่เขาชอบทำ
“ว่าไงไอ้ปรง”
“มึงไปล็อคห้องเพาะเห็ดยามาบูฯหรือยัง”
“ล็อคแล้ว กุญแจกูก็เอาใส่ไว้ในกระถางต้นไม้ข้างประตูนั่นแหละ ถ้ามึงจะแวะไปก็เอากุญแจไว้ที่เดิมด้วยละกัน” พี่อูนหันไปตอบกลับ เห็ดยามาบูฯที่เขาพูดถึงน่าจะเป็เห็ดยามาบูชิตาเกะที่ภาคของผมนำมาเพาะเลี้ยงไว้
“กูไม่ได้จะแวะไปหรอก แค่อยากถามเผื่อมึงลืมล็อค” พี่ปรงพูดพร้อมกับเริ่มเก็บข้าวของของตัวเองบนโต๊ะ ทั้งผมและพี่อูนต่างก็มองไปทางเขาเหมือนรอว่าเขาจะพูดอะไรต่อหรือเปล่า แต่พี่ปรงก็ไม่ได้พูดอะไร
“เออ กูไม่ลืมหรอก” พี่อูนตอบกลับไปเพียงเท่านั้นเพื่อตัดบทสนทนา
“ดีแล้วที่มึงไม่ลืม เพราะครั้งที่แล้วที่มึงลืมล็อคห้องจนเห็ดหายไปเป็ร้อยต้น กูก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย” พี่ปรงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพี่อูนและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พอพูดจบ เขาก็เดินแทรกตัวออกจากห้องไปทันที
ผมได้แต่มองตามหลังของพี่ปรงไปด้วยความงุนงง ผมไม่แน่ใจว่าปกติคำพูดเขาเป็แบบนี้อยู่แล้ว หรือเขาไม่ถูกกับพี่อูนกันแน่ แต่เท่าที่เห็นพี่อูนก็ดูไม่ได้มีอาการโกรธใด ๆ เลย เขายังคงหันมายิ้มให้ผมเหมือนเดิม
หลังจากนั้นพี่อูนก็ช่วยผมทำงานจนเสร็จหมดทุกอย่าง ผมแอบเกรงใจเขาอยู่นิดหน่อย แต่ก็ต้องขอบคุณเขาเลยที่มาช่วย ผมเลยได้กลับหอไวกว่าที่คาดเอาไว้ ในระหว่างที่กำลังนั่งรถกลับหอ ผมก็เอาแต่คิดถึงเื่ที่พี่อูนมาช่วยผมวันนี้
แต่ก็มีอีกเื่หนึ่งที่ผมยังคงสงสัยอยู่
เห็ดยามาบูฯมันมีดีอะไรกันนะ ถึงได้ถูกขโมยไปเป็ร้อยต้นเลย