Chapter one: Patricia Morgan
หากกล่าวถึงเมืองใหญ่อย่าง เอดมันตัน หลายคนก็ต้องพูดถึงความอุดมสมบูรณ์ของเมืองนี้อย่างแน่นอน เมืองที่ถูกรายล้อมไปด้วยูเาสูง มีทะเลสาบที่สวยงาม การขนส่งทางทะเลก็ทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ปศุสัตว์ก็เพียบพร้อมและพื้นดินที่ปลูกอะไรก็ได้ผลผลิตที่ได้คุณภาพ อีกทั้งยังมีเหมืองแร่ที่ใหญ่ไม่เป็รองเมืองอื่น ๆ เลยด้วยซ้ำ ไม่แปลกใจที่ผู้คนหลากหลายจากต่างเมืองมักจะแวะเวียนมาชมความงดงามของการเป็อยู่ที่ช่างแตกต่างจากเมืองใหญ่หลาย ๆ เมืองนัก
แต่ถึงยังไงในตัวเมืองที่ว่าเงียบสงบแล้วก็ยังคงดูวุ่นวายมากกว่าหมู่บ้านรอบนอกอยู่ดี โดยเฉพาะหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แสนสงบอย่างคอตตอนเทล หมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์เป็บ้านหลังน้อยเรียงรายกันอย่างงดงาม หมู่บ้านที่ขึ้นชื่อเื่ถักทอเป็พิเศษ อีกทั้งยังเป็แหล่งถักทอหลักที่กระจายเครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้า และของใช้อีกมากมายไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ และตัวเมืองอีกด้วย
ถึงแม้จะเข้าสู่่ปลายของฤดูหนาวแล้ว แต่หมู่บ้านคอตตอนเทลก็ยังถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลนอยู่ดีเพราะพายุหิมะที่โถมหนักใน 2-3 วันที่ผ่านมา จากที่เคยมีเสียงจอแจของเด็ก ๆ รอบหมู่บ้าน ในตอนนี้กลับเงียบเชียบเพราะทุกคนต่างอยู่กันแค่ในบ้านเท่านั้น
บรรยากาศในหมู่บ้านตอนนี้อาจจะดูน่าเบื่อสำหรับใครหลาย ๆ คน,
แต่สำหรับผู้ใหญ่และตัวของเขานั้นเป็่เวลาที่สบายหูที่สุดเลยละ
“ครูฝึกสอนศูนย์ส่งเสริมศิลปะการแสดงพื้นเมือง Edmonton,
พนักงานฝึกหัดโรงละครเวทีหลัก Greenlake,
ผู้ช่วยโรงละครเวที Edmonton..”
เสียงพึมพำเปล่งแ่เบาออกมาจากเ้าของริมฝีปากเล็ก ความอบอุ่นจากเครื่องทำความร้อนลอยมากระทบผิวแก้มขาวจนเริ่มขึ้นสีแดงจาง ๆ ปลายนิ้วเรียวที่เย็นเฉียบกรีดกรายตามซองจดหมายสีขาวในมือนับสิบฉบับอย่างบรรจง และบนหน้าซองจดหมายนั้นถูกระบุชื่อถึงผู้รับอย่าง Patricia Morgan ได้ถูกต้องทุกฉบับ
แพทริเซีย มอร์แกน, หรือแพท นักศึกษาวัย 21 ปี กำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีสุดท้ายของคณะศิลปะการแสดงของมหาวิทยาลัย Edmonton, แพทเป็หนึ่งในนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีที่สุดของชั้นปี อีกทั้งยังเด่นในเื่วิชาการมากซะจนเป็หนึ่งในตัวเต็งการรับทุนเรียนปริญญาโทฟรีของคณะในปีนี้อีกด้วย
เพราะความตั้งใจ ความมุ่งมั่นและผลการเรียนที่ดีคงที่มาตลอดั้แ่ชั้นปีแรกจนถึงตอนนี้ทำให้ในการยื่นฝึกงานของแพทนั้นแทบจะไม่ต้องกังวลใจอะไรเลย ตอนนี้เขามีสิทธิ์เลือกที่ฝึกงานทุกที่ที่เขา้าจะฝึกและสถานที่ที่เขาคิดว่าเหมาะสมกับตัวเขาที่สุด
เพราะเลือกอะไรก็ย่อมมีผลกับอนาคตด้วย,
หากเลือกสถานที่ธรรมดาก็คงถูกมองข้ามไปง่าย ๆ,
และนั่นคงไม่ดีกับโอเมก้าที่เป็เพศรองอย่างเขาด้วย
เสียงถอนหายใจดังขึ้นทันทีที่ความคิดเื่เพศสภาพโผล่ขึ้นมาในหัว ถึงในยุคสมัยนี้และสังคมในรั้วมหาวิทยาลัยของเขาจะไม่มีการเหยียดเพศก็เถอะ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าพวกคนสูงอายุที่ยังทำงานไหวนอกรั้วมหาวิทยาลัยนั้นเป็ยังไง เขารู้ตัวดีว่าตัวเองสามารถรับมือกับคำพูดแย่ ๆของคนพวกนั้นได้ แต่หากมันดันมากระทบหน้าที่การงานในอนาคต คงเป็เื่ที่แย่ที่สุดในชีวิต
เลือกเกิดได้ใครจะอยากเป็โอเมก้ากันล่ะ,
ใครอยากโดนมองว่าอ่อนแอ ไม่มีความเป็ผู้นำไปตลอดชีวิตกัน
“ชาตินี้ขอให้อย่าได้จับคู่กับพวกอัลฟ่าชอบกดขี่คนอื่นเลยเถอะนะ ได้โปรดละ”
แพทขมุบขมิบปากบ่นผะแ่กับตัวเองก่อนจะกลับไปสนใจซองจดหมายนับสิบในมืออีกครั้ง ครั้งนี้แพทตัดสินใจแกะซองจดหมายออกมาอ่านทีละฉบับอย่างตั้งใจ ดวงตากลมโตเลื่อนอ่านทีละตัวอักษรช้า ๆ ผ่านแว่นหนาเตอะ ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปร่วมสองชั่วโมงกับการอ่านรายละเอียดและสถานที่ฝึกงานส่วนหนึ่งที่เขาคัดไว้เฉพาะสถานที่ที่เขาให้ความสนใจ ฉบับแล้วฉบับเล่าก็ยังไม่มีวี่แววสถานที่ที่เขาอยากร่วมงานด้วยเลย
มีแต่อะไรน่าเบื่อ ซ้ำซาก จำเจ,
และถ้าหากต้องเจอเพื่อนร่วมคณะที่ฝึกงานอีกละก็
“เฮ้ออออ..”
จดหมายนับสิบฉบับในมือถูกโปรยทิ้งลงพื้นพร้อมกับเสียงถอนหายใจลากยาวจากคนขี้เบื่อ แพททิ้งตัวลงกับเก้าอี้คู่ใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มเปลี่ยนเป็สีส้มอ่อน ๆ แล้ว คนตัวเล็กกระชับเสื้อไหมพรมสีอ่อนเข้าหาตัวเพราะอากาศข้างนอกที่เริ่มเย็นลงอีกครั้ง ถึงแม้เ้าตัวจะชอบอากาศหนาวและพร้อมสู้กับลมเย็นสักเท่าไหร่ แต่อากาศในเอดมันตันตอนนี้ไม่น่าสู้ด้วยจริง ๆ
อากาศเย็นจัดที่เริ่มพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกแง้มไว้ทำให้อากาศในห้องนอนเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ จึงทำให้คนตัวเล็กที่กำลังนั่งหมุนอยู่บนเก้าอี้อย่างคนคิดอะไรไม่ออกต้องจำใจลุกไปปิดหน้าต่างบานใหญ่นั้นก่อนตัวเองจะแข็งกลายเป็ก้อนน้ำแข็งยังซะก่อน
มือบางเอื้อมไปดึงปิดหน้าต่างจนสนิทก่อนจะนั่งลงที่ขอบหน้าต่างช้า ๆ แพททอดสายตาไปนอกหน้าต่างซึมซับบรรยากาศที่เงียบสงบจากข้างนอก อากาศหนาวเย็นในฤดูที่เขาชื่นชอบที่สุด อีกไม่นานฤดูหนาวก็จะสิ้นสุดลงแล้ว สีของหิมะที่ขาวโพลนแบบนี้ก็คงไม่ได้มีให้เห็นในทุกวันอีกต่อไป
แขนเรียวขยับขึ้นมากอดตัวเองไว้อย่างหลวม ๆ พร้อมเลื่อนมือลูบตามแขนหวังคลายความหนาว พลางนึกย้อนไปถึงฉากหนึ่งในหนังเื่โปรดที่มักจะดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉากที่พระเอกและนางเอกนั่งกอดกันที่หน้าเตาผิงไฟโดยใช้ผ้าห่มผืนเดียวกันคลุมร่างของทั้งคู่ไว้เป็หนึ่งเดียว ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดออกมาให้คนดูได้ซึมซับแต่คนนั่งดูกลับหนาวใจขึ้นมาวูบหนึ่ง
เพราะในชีวิต 21 ปีที่ผ่านมาแพทไม่เคยได้รับไออุ่นจากใครนอกจากพ่อและแม่ ยิ่งถ้าพูดเื่การตกหลุมรักหรือความรู้สึกรักใครสักคน การต้องจินตนาการถึงคนรัก ความรัก และชีวิตคู่ในอนาคตจึงเป็เื่ที่ตอบได้ยากทุกครั้งที่มีคนถาม แต่ถ้าหากจะต้องมีความรัก ตัวเขาจะไม่ขออะไรเลยนอกจาก
ขอให้เป็รักครั้งแรกที่ดีที่สุดของเขา
และเป็รักครั้งสุดท้ายที่จะประทับอยู่ในใจเขาจนวันสุดท้ายของชีวิต
ถ้าหากความรักที่จะเกิดขึ้นมันจะไม่เป็อย่างที่เขาขอ
ก็ขออย่าให้เขาได้มีความรักเลย
- Simon’s theory -
หอม กลิ่นซุปฟักทองหอมมาถึงนี่เลย
ทันทีที่ก้าวลงมาถึงบันไดชั้นล่างของบ้าน กลิ่นหอมอบอวลของซุปฟักทองที่เป็เมนูโปรดของเขาก็ลอยแตะจมูกชวนให้น้ำลายสอได้ง่าย ๆ เสียงกระทบกันของกระทะและเตาในห้องครัวที่บ่งบอกว่ามีคนกำลังใช้งานอยู่อย่างแน่นอน ในมือของแพทยังมีจดหมายอีกสองสามฉบับที่เขาติดมือมาด้วย ขาเรียวก้าวยาว ๆ ไปยังห้องครัวทั้งที่สายตายังจดจ้องอยู่หน้าซองจดหมายไม่ว่างตา
“แพทริเซีย”
“จ๋า”
“แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าเวลาเดินให้ดูทางดี ๆ”
แพทเงยหน้าทันทีที่แม่ของเขาเรียกด้วยเสียงดุ ๆ แบบนั้น แมรี่ มอร์แกนในชุดผ้ากันเปื้อนสีเหลืองอ่อนส่งสายตาตำหนิมาอย่างไม่วางตาจนเขาต้องวางซองจดหมายทั้งหมดในมือและถลาเข้าไปกอดหญิงวัยกลางคนอย่างออดอ้อน
“แม่อ่า แพทแค่อ่านนิดเดียวเอง”
“อย่ามากอดแม่ มีแต่กลิ่นกับข้าวเต็มไปหมด”
“งั้นก็เป็กลิ่นที่หอมที่สุดเลยเพราะกับข้าวฝีมือแม่หอมที่สุด”
ฟอดดดด
ปลายจมูกสวยฝังลงไปที่แก้มของผู้เป็แม่ก่อนจะสูดดมความหอมจนชื่นใจ เพียงแค่ลูกชายหอมครั้งเดียวก็เรียกรอยยิ้มหวานออกมาได้ทันที ถึงคุณแมรี่จะใจแข็งกับผู้เป็สามีหรือเื่อื่น ๆ ในบ้านมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้กับลูกชายอย่างแพทอยู่ดี
“อ้อนนักนะตัวแสบ”
“หิวแล้วแม่ พ่อจะกลับมาตอนไหนครับ? อยากกินซุปฟักทองร้อน ๆ จะแย่”
“วันนี้พ่อน่าจะกลับดึกเลยลูก แพทรอขนมปังสุกก่อนนะจ๊ะ วันนี้แม่อบเพิ่มให้แพทโดยเฉพาะเลย”
“งั้นแพทอ่านจดหมายตอบรับฝึกงานรอนะ”
คุณแม่พยักหน้ารับแทนคำตอบพร้อมส่งยิ้มให้อีกหนึ่งครั้ง คนตัวเล็กค่อย ๆ ขยับเก้าอี้โต๊ะอาหารอย่างเบามือก่อนจะนั่งลงอ่านจดหมายที่หยิบมาเงียบ ๆ มุมโปรดมุมเดิมของบ้านที่มักจะมีกลิ่นหอมของกับข้าวและขนมปังในเตาอบอวลไปทั่วห้องครัว แสงไฟสีอุ่นถูกเปิดเพิ่มความสว่างในบ้านหลังเล็ก และเสียงเพลงแว่วมาจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงในห้องนั่งเล่นยิ่งทำให้บรรยากาศในบ้านน่าอบอุ่นยิ่งขึ้นไปอีก
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง กลิ่นขนมปังเริ่มหอมกรุ่น เสียงของเตาที่ดับลงในจังหวะที่แพทหยิบจดหมายฉบับสุดท้ายขึ้นมา จดหมายฉบับนี้ช่างแตกต่างจากทุกฉบับ ซองจดหมายสีเขียวเข้มและตราประทับขี้ผึ้งสีทองตัวย่อ Qtr.
มันช่างคุ้นเคยเหมือนกับว่าเขาเคยได้เห็นที่ไหนมาก่อน
จดหมายฉบับนี้เป็ฉบับเดียวที่ถูกเขียนปากกาหมึกซึมไม่เหมือนกับฉบับอื่นที่ถูกตีพิมพ์แบบปกติทั่วไป ทุกตัวอักษรถูกบรรจงเขียนอย่างตั้งใจและไม่มีคำผิดให้เห็นเลยสักคำ กระดาษที่แนบมาในซองนั้นมีสามใบพร้อมแถบปั๊มลายนิ้วมืออันเล็กที่แนบมาให้ด้วย
Quintrell House
St. Northmount 888
Edmonton, Canada
เื่ การฝึกงาน
เรียน คุณแพทริเซีย มอร์แกน
เรามีความยินดีเป็อย่างยิ่งที่จะแจ้งให้คุณทราบว่า เราได้รับหนังสือการยื่นขอฝึกงานจากมหาวิทยาลัย Edmonton และคุณสมบัติของคุณแพทริเซียได้ตรงกับหน้าที่พิเศษอันทรงเกียรติของเรา คุณได้รับเลือกให้เข้ามาเป็คุณครูฝึกสอนบุคลิกภาพและการแสดงสำหรับทายาทหนึ่งเดียวในพิธีการแต่งตั้งผู้สืบทอดของตระกูล Quintrell ที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 เดือนข้างหน้า
จดหมายฉบับนี้ได้แนบรายละเอียดของการทำงานและสัญญาฉบับย่อให้ในเอกสารฉบับต่อไป หากคุณแพทริเซียได้พิจารณารายละเอียดทั้งหมดครบถ้วนดีแล้วและยินดีที่จะร่วมงาน โปรดตอบกลับจดหมายฉบับนี้พร้อมประทับลายนิ้วมือ เซ็นกำกับชื่อให้ครบถ้วนและส่งกลับมาตามที่อยู่ที่ได้ระบุไว้ ทางเราหวังเป็อย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมงานกับนักศึกษาผลการเรียนดีเด่นอย่างคุณแพทริเซีย
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
James Portefille,
Quintrell House
“คุณครูฝึกสอนบุคลิกภาพและการแสดงสำหรับทายาท.. ควินท์เรล?”
คิ้วเรียวสวยถูกขมวดจนแทบจะชนกันที่อ่านเนื้อหาในจดหมายแผ่นแรกซ้ำไปมา ตัวเขาเองเข้าใจเื่การที่ถูกติดต่อให้เป็ครูสอนบุคลิกภาพอยู่แล้วเพราะบุคลิกภาพก็คือการแสดงออกและการจัดท่าทางของร่างกายที่เราสามารถบังคับการแสดงออกของมันออกมาได้ แต่การแสดงในพิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดทายาทนี่สิ
สมัยนี้มันยังมีอะไรแบบนั้นอยู่อีกหรือไงกัน
แต่ถึงยังไง งานนี้ก็ดูน่าสนใจกว่าทุกงานที่เขาได้อ่านมาแล้วละนะ
ถึงแม้จะเคยได้เรียนและลองแสดงบทในพิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดในวิชาการแสดงบ้างแล้วเพราะนี่ก็เป็หนึ่งในขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่ของเอดมันตันที่สืบทอดกันมา แต่ถ้าหากเขาต้องสอนมันให้กับทายาทหนึ่งเดียวของตระกูลมันคงไม่ใช่แค่เื่เล่น ๆ แล้วละ
“รายละเอียดสัญญางานมันเยอะขนาดนี้เลย?”
แพทตาโตทันทีที่ได้เห็นสัญญางานยาวั้แ่หัวกระดาษจนสิ้นสุดของกระดาษแผ่นที่สองที่ถูกแนบมา และทุกตัวอักษรก็ยังถูกเขียนด้วยปากกาหมึกซึมเหมือนกับแผ่นแรกไม่มีผิด กระดาษทุกใบถูกประทับด้วยตราของตระกูลควินท์เรลอย่างชัดเจนและนั่นทำให้เขาแน่ใจได้ว่าสิ่งที่เขาถืออยู่จะไม่ใช่เื่ล้อเล่นจากใครอย่างแน่นอน
“แพท ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะลูก?”
“แม่..”
“จดหมายตอบรับการฝึกงานเหรอ?” ใบหน้าหวานพยักหน้าตอบรับคำถามจากผู้เป็แม่ก่อนจะเก็บจดหมายที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมดลงเก้าอี้ข้างที่ว่างเพื่อจะช่วยเตรียมจัดวางอาหารเย็น ถึงแม้เขาจะไม่้าให้แม่ต้องเป็ห่วงกับสิ่งที่เขาเครียดอยู่ แต่พนันได้เลยว่าในตอนนี้ใบหน้าและแววตาของเขาคงจะฉายแววความเครียดสุด ๆ ไปเลยละ
“ถ้ามันเครียดขนาดนั้นก็เก็บไว้อ่านหลังมื้อเย็นดีมั้ย? เดี๋ยวแม่ช่วยให้คำปรึกษาอีกแรง”
“รับรองได้เลยว่าแม่จะต้องช็อกกับสิ่งที่แพทได้รับมาแน่ ๆ”
- Simon’s theory -
หลังจากมื้อเย็น สองแม่ลูกแห่งบ้านมอร์แกนก็มานั่งบนโซฟาตัวเล็กในห้องรับแขกที่ทั้งคู่มักจะทำกันเป็ประจำในทุกคืน แรงลมจากข้างนอกเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนรับรู้ถึงการสั่นของกระจกได้ เสียงแว่วของโทรทัศน์ที่เปิดอยู่นั้นไม่ได้แว่วเข้าหูสองแม่ลูกสักนิด ในตอนนี้แพทริเซียและแมรี่กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับจดหมายของบ้านควินท์เรลซะจนทำอะไรไม่ถูก
รายละเอียดสัญญางานของบ้านควินท์เรลนั้นมีเยอะเสียจนเขาเวียนหัว แต่ละข้อถูกระบุรายละเอียดโดยย่อยของทุกอย่างไว้อย่างชัดเจนซะจนเขาแทบไม่ต้องติดต่อกลับไปเพื่อถามอะไรเพิ่มเติมอีกเลย
แต่ถึงจะอยากติดต่อยังไง
ช่องทางติดต่อทางเดียวที่มีให้ก็มีแค่ที่อยู่นั่นแหละนะ
“ข้อที่หนึ่ง ผู้ว่าจ้างตกลงให้ผู้รับจ้างกระทำการสอนในพิธีการแต่งตั้งผูสืบทอดตระกูลควินท์เรลเป็เวลา 10 เดือน นับั้แ่วันแรกที่ผู้รับจ้างมาถึงยังสถานที่ปฏิบัติงานจริง อีกทั้งยังต้องอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ควินท์เรลจนกว่าจะหมดสัญญางานอีกด้วย โดยมีเงื่อนไขและข้อตกลงตามสัญญาฉบับนี้..”
“..”
“ปกติแล้วมันแค่ 6 เดือนเองแม่ แค่นี้แพทก็ไม่อยากทำแล้ว”
“แต่นั่นจดหมายจากควินท์เรลเลยนะ ควินท์เรลน่ะเป็ถึงบ-”
“แม่บอกแพทมาสิบรอบแล้วเนี่ย แพทรู้แล้วว่าควินท์เรลเป็เ้าของบริษัทส่งออกหลักของเอดมันตัน ทุกอย่างที่ทุกหมู่บ้านทำก็ต้องให้ควินท์เรลเป็คนส่งออก ฟาร์มใหญ่ที่สุดก็เป็ของเขา แพทเข้าใจแล้วแม่”
“ดู ดูเขาทำปากใส่แม่สิ” แมรี่ยิ้มขำให้กับท่าทางบึ้งตึงของลูกชายตัวเองก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวเบา ๆ อย่างเอ็นดู
“มันตั้ง 10 เดือนเลยนะที่แพทต้องไปอยู่ที่นั่น แม่ไม่ห่วงแพทเหรอ”
“ห่วงสิ แต่แพทคิดว่าเขาจะเอาแพทไปเชือดเหมือนหมูเหมือนไก่แล้วส่งออกหรือไงเล่า? เขาจะเอาแพทไปสอนทายาทของเขาต่างหาก”
“แม่อ่ะ”
“ไม่ต้องเลย อ่านต่อเลยตัวแสบ”
แพทถอนหายใจยาวประชดผู้เป็แม่ทันทีที่ถูกขัดใจแบบนั้น แค่คิดว่าต้องไปอยู่ในบ้านของใครก็ไม่รู้และไม่ได้กินกับข้าวฝีมือแม่ทุกวันตั้งเกือบปี ใจของแพทก็ห่อเหี่ยวลงทันที กับข้าวของแม่น่ะอร่อยที่สุด ต่อให้มีเชฟมือหนึ่งอยู่ที่นั่นสิบคนก็ไม่สามารถทำซุปฟักทองได้อร่อยเท่าแม่ของเขาหรอก
เขาทำได้แค่เพียงบ่นอยู่ในใจ แต่เมื่อสายตาเลื่อนไปอ่านเจอตัวเลขในสัญญาข้อที่สองก็ทำเอาแพทชะงักจนต้องอ่านออกมาแบบเสียงสั่นเครือ
“ข้อที่สอง ผู้ว่าจ้างตกลงชำระค่าตอบแทนการสอน ทั้งในรูปแบบของค่าใช้จ่ายรายเดือน เดือนละ 75,000 บาท ตลอดเวลา 10 เดือน.. และเงินตอบแทนในวันสุดท้ายหลังจบพิธีการแต่งตั้งผู้สืบทอดทายาทอีกเป็เช็คเงินสดจำนวน 100,000 บาททันที..”
ดวงตาของแม่ลูกตระกูลมอร์แกนสบตากันอย่างรู้ใจ แพทที่เคยทำหน้าบึ้งตึงเริ่มฉีกยิ้มกว้างและเขยิบเข้าไปนั่งใกล้ผู้เป็แม่มากขึ้นเพื่อให้แม่ได้อ่านว่าสิ่งที่อยู่ในมือและที่เขาอ่านออกไปนั้นเป็เื่จริง
“แพทว่าคุ้มแล้วแหละแม่ เริ่มน่าสนใจแล้ว”
“นั่นไง แม่ว่าแล้ว เด็กอย่างเรานี่นะ” แมรี่ยิ้ม
“โธ่แม่ ก็นี่มันเยอะกว่าเงินเดือนที่ได้จากที่อื่นตั้งกี่เท่า อีกอย่างตำแหน่งแค่เด็กฝึกงานอย่างแพทจะได้รับงานเงินเดือนดี ๆ แบบนี้นี่โอกาสหายากมากเลยนะแม่”
“แล้วจะไม่อ่านข้ออื่นต่อหน่อยเหรอ?”
“ไม่อยากอ่านแล้วแม่ แค่นี้พอแล้ว”
คำตอบและการกระทำของลูกชายทำเอาแมรี่หัวเราะขึ้นมาทันที ถึงเ้าหล่อนจะรู้ดีอยู่แล้วว่าคนอย่างแพทนั้นค่อนข้างที่จะชอบเื่เงิน ๆ ทอง ๆ อยู่แล้วแต่มันก็อดที่จะหัวเราะกับรอยยิ้มแห้ง ๆ ที่ส่งมาไม่ได้
“แค่เห็นเงินก็พร้อมจะหอบกระเป๋าหนีแม่เลยสินะ”
“ไม่ใช่สักหน่อย ไว้แพทค่อยเก็บไปอ่านคนเดียวก็ได้”
“ทำเป็พูดเข้าเถอะแพทริเซีย”
“ก็ตอนนี้แพทอยากอยู่กับแม่ก่อน”
“เจอกันทุกวัน”
แพทที่เคยนั่งออดอ้อนอยู่ข้าง ๆ ก็เปลี่ยนมานอนหนุนตักของแม่แทน มือนิ่มของหญิงวัยกลางคนเอื้อมมาลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนอย่างเบามือ ใบหน้าหวานผินเข้าหาฝ่ามือนิ่มของผู้เป็แม่อย่างคุ้นชิน
“ถ้าแพทตกลงไปฝึกงานที่บ้านควินท์เรล แม่จะคิดถึงแพทมั้ย?”
“คิดถึงสิ ลูกแม่ทั้งคนเลยนะ”
นั่นน่ะสิ ลูกแม่ทั้งคนเลยนะ
พอมานึกดูแล้วการที่ต้องห่างจากแม่เกือบปีขนาดนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตเขาเหมือนกัน เพราะแค่ไปค่ายตอนประถมแค่ 3 วัน ตัวเขาเองก็คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงบ้าน และคิดถึงเตียงนอนที่บ้านจนแทบจะหลับไม่ลง หากใครจะบอกว่าเขาติดคุณพ่อคุณแม่มากแค่ไหน ตัวแพทเองก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด ก็ครอบครัวของเขาทั้งดีและอบอุ่นขนาดนี้ จะไม่ให้ติดได้ยังไงกันล่ะ
ถึงการเป็ลูกคนเดียวในสายตาของคนอื่นนั้นอาจจะดูเหงาเพราะไม่มีพี่น้องคอยเล่นด้วยหรือคอยคุย คอยให้คำปรึกษาในเื่ต่าง ๆ ที่ผู้ใหญ่อาจจะไม่เข้าใจ แต่ผิดกันกับครอบครัวมอร์แกนที่พ่อและแม่ต่างเป็ทั้งพี่น้อง เป็เพื่อน เป็พื้นที่ปลอดภัย และเป็ทุกอย่างให้กันและกัน แพทถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักตลอดทั้งชีวิตแต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองอ่อนแอหรือถูกโอ๋เลยเพราะพ่อและแม่ต่างสอนให้เขาได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง เขาถูกสอนอยู่เสมอว่าเราทุกคนนั้นเกิดมาคนเดียว หากวันไหนที่โดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่งพิง ให้จำไว้ว่าสุดท้ายเพื่อนที่ดีที่สุดนั้นก็คือตัวของเรา
และสิ่งที่น่ากังวลที่สุดในตอนนี้นั้นไม่ใช่เื่ของความรู้สึก ความคิดถึงที่จะต้องห่างจากพ่อและแม่เลย แต่เป็สถานที่ที่จะต้องไปฝึกงานด้วยมากกว่า ถ้าหากเขาเลือกที่อื่นก็ไม่มีอะไรให้น่าเป็ห่วงเพราะอย่างน้อยเขาก็ได้กลับมานอนที่บ้านทุกวันอยู่ดี แต่ถ้าหากเขาไปฝึกงานที่ตระกูลควินท์เรล เขาเองก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง
จากที่เคยเรียนในคลาสการแสดงเกี่ยวกับพิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดทายาท พิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดทายาทนั้นมีหลายขั้นตอนมาก นอกเหนือจากการเตรียมของในพิธีและบทพูดที่ยาวเกือบสองหน้ากระดาษ สิ่งที่สำคัญที่สุดในพิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดทายาทนั้นก็คือ ตัวทายาท นั่นแหละ
ทายาทที่จะเข้าพิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดทายาทได้นั้นต้องเป็ อัลฟ่า เท่านั้น ตัวทายาทเองจะต้องเป็บุตรของผู้สืบทอดก่อนหน้าและเป็บุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่บุตรนอกสมรส และรายละเอียดยิบย่อยอีกมากมาย ขึ้นอยู่กับกฎของแต่ละตระกูลอีกด้วย ในเอดมันตันเองก็เหมือนจะมีตระกูลเก่าแก่ที่มีพิธีแต่งตั้งนี้อยู่ด้วย แต่ตัวแพทเองนั่นแหละที่ไม่ได้สนใจหรือคิดว่ามันสำคัญอะไรนัก
รู้อย่างนี้หาความรู้ใส่ตัวไว้ั้แ่เนิ่น ๆ ดีกว่าแพทเอ๊ย
“แม่จ๋า”
“ว่าไงจ๊ะ”
“แม่พอจะรู้เื่ของตระกูลเก่าแก่ในเมืองเราบ้างไหม?”
“รู้สิ”
แมรี่ มอร์แกนละสายตาจากรายการโปรดบนจอโทรทัศน์ทันทีที่ได้ยินคำถาม หล่อนเอื้อมมือไปหยิบรีโมทและกดปุ่มลดเสียงลงจนแทบไม่ได้ยิน
“แม่ไม่ดูแล้วเหรอ?”
“ก็เล่าให้แพทฟังก่อนนี่ไง”
แพทพยักหน้ารับพร้อมลุกขึ้นมานั่งฟังอย่างตั้งใจ แขนเรียวเอื้อมไปหยิบหมอนอิงมากอดไว้กับตัวเองอย่างตื่นเต้น ดวงตากลมโตจดจ้องไปที่ผู้เป็แม่อย่างคาดหวังเหมือนกับตอนที่เขายังเด็กและแม่เตรียมจะเล่านิทานให้ฟังในทุก ๆ คืน
“เมื่อก่อนเอดมันตันน่ะเป็เมืองที่แทบจะเรียกว่าเมืองไม่ได้ด้วยซ้ำนะรู้มั้ย? แต่เพราะสี่ตระกูลเก่าแก่ของเมืองเราที่เป็ผู้ริเริ่มค้นพบทุกอย่างที่เป็อาชีพหลักและจุดเด่นของเมืองเรา ทั้งเื่ฟาร์ม ปศุสัตว์ สิ่งถักทอและเหมืองแร่ ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เป็เพราะสี่ตระกูลนั้นนั่นแหละทำให้เราได้มีที่อยู่และอาชีพทำมาหากินในเมืองที่เจริญแล้วแบบนี้”
“..”
“และหนึ่งในสี่ตระกูลที่แม่พูดถึงอยู่ ก็มีตระกูลควินท์เรลด้วย”
หลังจากที่ได้ฟังเื่ราวทั้งหมดจากคุณแม่ในคืนนั้นก็ทำเอาแพทข่มตานอนแทบไม่ได้ แทนที่เขาจะได้เพลิดเพลินกับเื่ราวสี่ตระกูลเก่าแก่ของเอดมันตัน แต่เขากลับได้รับความรู้สึกหวาดกลัวและกังวลใจมาแทน
สี่ตระกูลเก่าแก่ของเอดมันตันนั้นประกอบไปด้วย ควินท์เรล, แมคคอยด์, อีแวนส์ และริเวอร่า เื่ราวของทั้งสี่ตระกูลนั้นเป็ไปอย่างราบรื่นมาตลอดหนึ่งร้อยปีที่เอดมันตันถูกก่อตั้งขึ้น ไม่ว่าจะถูกส่งต่อผ่านพิธีสืบทอดทายาทมากี่รุ่นต่อกี่รุ่นก็ไม่เคยมีเื่บาดหมางกันเลยสักครั้ง มีเพียงความปรองดองและพันธมิตรที่ดีต่อกันมายาวนานและมีงานเลี้ยงเฉลิมฉลองของทั้งสี่ตระกูลในทุก ๆ ทศวรรษอีกด้วย
แต่สุดท้ายพันธมิตรที่มีต่อกันมาตลอด,
ก็ต้องจบในคืนของการเฉลิมฉลองศตวรรษที่หนึ่งของเอดมันตัน,
ที่มีหนึ่งชีวิตถูกสังเวยไปพร้อมาแของสี่ตระกูลที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้..
- Simon’s theory -