โรงแรมจิ่นต๋าสร้างไม่ถึงสิบปีก็กลายเป็โรงแรมห้าดาวไม่เป็สองรองใครในเมืองหลวง การตกแต่งภายในหรูหราและให้ความรู้สึกเคร่งขรึม บริการคุณภาพเข้าขั้นดีเยี่ยม อาหารประณีตเลิศรส เจิ้งหยวนเชิญแขกมาเจรจาธุรกิจที่นี่นับครั้งไม่ถ้วนจนเป็แขกคุ้นหน้าคุ้นตาของพนักงานเปิดประตูแล้ว
เธอลงจากรถแล้วยื่นกุญแจให้พนักงาน เมื่อแหงนใบหน้ามองอาคารสูงตระหง่าน ในใจก็รู้สึกขบขัน นี่เป็ครั้งแรกเลยที่เธอโดนบุตรชายแท้ๆ นัดพบราวกับพบปะลูกค้าทางธุรกิจ
เมื่อเข้าไปในห้องส่วนตัวที่จองไว้ล่วงหน้า หลินเผิงเฟยก็มาถึงแล้ว เขานั่งเก้าอี้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ยามที่พบมารดาผู้ให้กำเนิดของตนก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนิทสนมอันใด สายตาเหลือบมองเธอนิ่งๆ เสมือนกำลังมองคนแปลกหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
ก็ใช่ เจิ้งหยวนครุ่นคิด พวกเราสองคนเดิมไม่มีความรักระหว่างแม่ลูกกันอยู่แล้ว
เจิ้งหยวนเพิ่งนั่งลง หลินเผิงเฟยก็หยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมา เจิ้งหยวนกวาดตามอง รู้ทันทีว่ามันคืออะไรโดยไม่ต้องกวาดสายตาอ่าน หล่อนหัวเราะเหยียดหยันตัวเองแล้วเอ่ยแ่เบา “กินข้าวก่อนเถอะ กินเสร็จค่อยคุย”
มือหลินเผิงเฟยชะงักสักพัก แต่ก็วางเอกสารกลับไปบนเก้าอี้ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง
อาหารยังคงอร่อยน่าทานเหมือนเดิม ทว่าเจิ้งหยวนกลับรู้สึกไร้รสชาติยิ่งกว่าการเจรจาต่อรองธุรกิจครั้งใด หล่อนมองบุตรชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาขมวดคิ้วมุ่น เคลื่อนไหวเชื่องช้า คาดว่าไม่อยากอาหารเช่นกัน
เจิ้งหยวนเพ่งพินิจบุตรชายของตน หลายปีที่ผ่านมา นี่เป็ครั้งแรกที่หล่อนมองบุตรชายอย่างตั้งใจขนาดนี้ เขามีหน้าตาละม้ายคล้ายบิดา ท่าทางสะอาดสะอ้าน สวมแว่นตา มองแวบแรกก็รู้ว่าเป็คนสุภาพและมีการศึกษา สามสิบปีก่อนหล่อนทิ้งเขาไป เพียงพริบตาเดียวบุตรชายก็อายุสามสิบห้าปีแล้ว ผู้ชายวัยสามสิบย่างสามสิบห้าอย่างเขา นับเป็บุรุษที่สามารถรับผิดชอบครอบครัวได้คนหนึ่ง เมื่อสังเกตดู จะเห็นริ้วรอยเลือนรางบนหน้าผาก
หลินเผิงเฟยไม่พอใจกับสายตาจดจ้องของเจิ้นหยวน เขาวางตะเกียบลงแล้วเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ไม่กินแล้วเหรอ? งั้นก็รีบเซ็นสัญญาซะ” เขาหยิบเอกสารสัญญาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนเดินเข้ามาวางลงในมือของเจิ้นหยวน
สายตาเจิ้งหยวนตกลงบนตัวอักษร 'สัญญาโอนหุ้น' แม้รู้ั้แ่แรกว่ามันคืออะไร แต่ก็ยังกลั้นหายใจอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่ชั่วครู่ หลังจากแน่นิ่งไปสองสามวินาทีค่อยพรูลมหายใจ หล่อนหยิบปากกา พลิกไปหน้าสุดท้ายแล้วจึงตวัดเซ็นชื่อตนเองโดยไม่อ่านรายละเอียดเนื้อหาแต่อย่างใด
หลังจากลากเส้นสุดท้ายเสร็จ หลินเผิงเฟยก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ความสุขเอ่อล้นขึ้นมาในใจ จะดึงสัญญากลับมาอย่างดีใจแทบเนื้อเต้น ทว่ามันกลับไม่ขยับสักนิด สัญญาโดนเจิ้นหยวนยื้อเอาไว้ หล่อนเงยหน้าไล่มองบุตรชายตนเองจากด้านล่าง
มุมนี้ทำให้บุตรชายที่สูงเพียงร้อยเจ็ดสิบเิเของเธอดูตัวใหญ่และเ็าไร้หัวใจผิดปกติ ชวนให้ใจของหล่อนวูบโหวง
“เผิงเผิง” นี่เป็หนแรกในรอบหลายปีที่หล่อนเรียกชื่อเล่นของเขา เดิมคิดว่ายากหนักหนาเพราะชื่อนี้สื่อถึงความรักทั้งหมดที่หล่อนมีต่อบุตรชาย เผิงเฟย เป็นามที่เธอตั้งขึ้นมาเอง ยามนั้นหล่อนบอกกับหลินเสี่ยวหยางว่าอย่างไรกันนะ 'หวังว่าบุตรชายของพวกเราจะกางปีกบินทะยานขึ้นสูงราวกับพญานก' เป็ความหมายที่ดียิ่ง แต่ลูกเธอทำอะไรบ้าง? หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยก็เริ่มวางแผนแย่งบริษัทของมารดาแท้ๆ ช่างน่าโมโหและชวนขมขื่นนัก
“อย่าเรียกผมแบบนั้น!” หลินเผิงเฟยแสดงสีหน้ารังเกียจ เขาตะคอกเสียงดัง “ขอร้อง มันน่าขยะแขยง”