"อ๊า..."
เสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชของหญิงสาวตามมาด้วยเสียงกิ่งไม้หักเปรี๊ยะๆ ดังกึกก้องอยู่ในป่าอันหนาวเหน็บ สกุณานับไม่ถ้วนแตกตื่นบินกระเจิงไปทั่วสี่ทิศ
เสียงของหนักหล่น 'ตุ้บ' บนพื้น ใบไม้แห้งที่สุมอยู่โคนต้นฟุ้งตลบด้วยแรงสั่นะเื
ผ่านไปครู่ใหญ่เงาร่างที่ร่วงลงมาถึงค่อยขยับเขยื้อน
"โอย... ฉันเจ็บจะตายอยู่แล้ว" เสียงสูดอากาศฟืดฟาดเจืออยู่ในลมหายใจหอบถี่ของหญิงสาว
เธอกลิ้งเกลือกอยู่ชั่วขณะหนึ่งถึงตะกายลุกขึ้นมานั่ง ยกมือลูบหน้าอกเบาๆ จนกระทั่งความเ็ปบรรเทาลงไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงหน้าขาวซีดค่อยดูดีขึ้น เธอพลิกหลังมือขึ้นมาปาดน้ำตาซึ่งไหลพรากเพราะความเ็ป
"ให้ตายเถอะ... เซวียเสี่ยวหรั่นดวงของเธออะไรจะแข็งปานนี้ ตกลงมาจากยอดเขาสูงขนาดนั้นยังไม่ตายอีกหรือนี่"
เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มตั้งสติได้แหงนมองขึ้นฟ้า ต้นไม้สูงใหญ่ตั้งตระหง่านแผ่กิ่งก้านบดบังผืนฟ้าเอาไว้ ต้องมองลอดผ่านใบไม้เขียวชอุ่มและดกหนาเ่าั้ขึ้นไป ถึงจะพอเห็นส่วนเสี้ยวเล็กๆ ของท้องนภา
ความสว่างแถวนี้ค่อนข้างมืดครึ้ม ประกอบกับค่าสายตาที่สั้นเกือบสองร้อยของเธอก็ยิ่งเห็นทิวทัศน์ไกลๆ ไม่ชัดเจนนัก
"แถวนี้มีป่าธรรมชาติขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกใจคอไม่ดี รอบด้านเงียบมาก มีเพียงเสียงนกร้องแว่วมาเป็ครั้งคราวจากที่ไกลๆ กับเสียงลมหายใจลากหนักของเธอเอง
เธอกลืนน้ำลายด้วยความตื่นเต้น ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บหน้าอกเท่าไรแล้ว "อย่ากลัว อย่ากลัว ประเดี๋ยวหน่วยกู้ภัยก็จะมากันแล้ว"
เธอ... เซวียเสี่ยวหรั่นเพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จ เลยออกมาเที่ยวปีนเขากับเพื่อนร่วมชั้นกลุ่มหนึ่ง
การสอบทำได้ไม่ดีเท่าไร ซ้ำร้ายหัวหน้าชั้นสุดหล่อกับดาวเด่นประจำห้องก็จีบกันกะหนุงกะหนิงมาตลอดทาง ทำเอาคนที่แอบรักเขาข้างเดียวอย่างเซวียเสี่ยวหรั่นออกอาการห่อเหี่ยว
ในยุคสมัยที่รูปร่างหน้าตาเป็สิ่งสำคัญ สาวร่างท้วมนิดๆ อย่างเธอก็เหมือนกับกำแพงพื้นหลังที่ถูกคนมองข้าม
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ได้เดินเกาะกลุ่มไปกับพวกเขา แต่รั้งอยู่ท้ายขบวนอย่างซึมกะทือ ทุกคนนัดแนะรวมตัวกันที่เชิงเขา เวลายังมีเหลือเฟือ
ขณะใกล้จะถึงยอดเขา ท้องฟ้าก็มืดครึ้มกะทันหัน กลุ่มเมฆดำเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ มีคนในคณะเดินทางร้องะโว่า "ฝนจะตกแล้ว"
ฝน่เดือนหกมาเร็วไปเร็ว
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่รีบร้อน ในเมื่อเหาะไปถึงเชิงเขาไม่ได้ จะหาหลบฝนที่ไหนก็เหมือนกัน เธอเดินเข้าไปในศาลาบนโขดหินซึ่งมีพื้นที่ยื่นออกไปริมผาครึ่งหนึ่ง รอบด้านปกคลุมด้วยม่านหมอกสีขาวสุดลูกหูลูกตา เป็ทิวทัศน์ที่งดงามมาก เธอหยิบมือถือขึ้นมาชูสองนิ้วถ่ายภาพเซลฟี่ หลังถ่ายไปสองสามรูปค่อยเดินออกจากศาลา
ทันทีที่เดินมาถึงทางออก พลันเกิดลมกระโชกแรง ต้นไม้รอบด้านถูกพายุพัดเสียดสีดังหวีดหวิว ผู้คนที่พักอยู่ในศาลาเริ่มวิ่งออกมาด้านนอก
พายุูเาหอบดินทรายตลบฟุ้งมืดฟ้ามัวดิน บดบังทัศนวิสัยของเซวียเสี่ยวหรั่นในชั่วพริบตา เธอยู่หน้าหลับตาปี๋ ซวนเซไปด้านหลังสองสามก้าว พลางยกมือคิดจะถอดแว่นแล้วขยี้ตา แต่แล้วลมก็กระโชกเข้ามาอีกระลอก เซวียเสี่ยวหรั่นกึ่งหลับตาอยู่ถูกใครบางคนชนเข้าที่หัวไหล่ ร่นถอยไปด้านหลังด้วยสัญชาตญาณ ทว่าเท้ากลับเหยียบได้แต่ความว่างเปล่า หงายหลังร้อยแปดสิบองศาดิ่งลงสู่เบื้องล่าง
พายุโหมกระหน่ำจากรอบทิศเมฆหมอกแปรปรวน เซวียเสี่ยวหรั่นยังไม่ทันใ ก็จมหายไปในทะเลหมอก
ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็กลายเป็อีกอย่างไปแล้ว
"โธ่เอ๊ย ทำไมฉันถึงซวยขนาดนี้ อย่าให้รู้นะว่าไอ้บ้าที่ไหนซุ่มซ่ามเดินมาชน เอ๋... เมื่อครู่ยังมีพายุรุนแรงอยู่เลย ทำไมตอนนี้สงบแล้วล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นแหงนหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้างุนงง เธอหรี่ตาเล็กน้อย แว่นตาไม่รู้ว่าตกหายไปไหน สายตาสั้นสองร้อยจะว่าตาบอดก็ไม่ใช่ จะว่าตาดีก็ไม่เชิง
แม้ท้องฟ้าจะมืดครึ้ม แต่กลับไร้ลมฝน
"ว้าย" จู่ๆ เซวียเสี่ยวหรั่นก็ร้องเสียงดัง โทรศัพท์มือถือของเธอหายไปแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นมองสองมือที่ว่างเปล่า นึกอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา เธอเพิ่งเปลี่ยนมือถือ่ก่อนปีใหม่นี่เอง ใช้มาได้ครึ่งปี ตอนซื้อเสียเงินไปตั้งสามพันกว่าหยวน นี่เป็มือถือรุ่นที่ไอดอลของเธอเป็พรีเซนเตอร์เชียวนะ
ปัญหาสำคัญที่สุดก็คือไม่มีมันแล้วเธอจะใช้อะไรติดต่อขอความช่วยเหลือ
เซวียเสี่ยวหรั่นร้อนใจทุบอกชกตัว ทว่าทันทีที่มือกระแทกถูกหน้าอก ก็ไปกระทบถูกแผลฟกช้ำจากการตกลงมาเมื่อครู่
ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวด้วยความเ็ปในฉับพลัน ยกมือขึ้นลูบหน้าอก ก่อนดึงคอเสื้อมองเข้าไปด้านใน ผิวซึ่งเคยขาวกระจ่างดุจหิมะกลายเป็ปื้นเขียวอมม่วง กระต่ายขาวของเธอถูกทับจนแบนแต๊ดแต๋เป็ขนมเปี๊ยะไส้เนื้อหมดแล้ว เธอสูดปากข่มความเ็ปก่อนตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น
ลองสะบัดมือขยับเท้าดู แขนขายังนับว่าแข็งแรงดีอยู่ ไม่มีอาการกระดูกหักหรือเคล็ดขัดยอก ข้อมือกับหน้าแข้งมีแผลถลอกสองสามแห่งกับรู้สึกแสบร้อนที่ลำคออยู่บ้าง ไม่บอกก็รู้ว่าถูกกิ่งไม้ครูด ทว่ายังดีที่มีแต่าแเล็กน้อย
ในคราวเคราะห์ยังพอมีโชคอยู่บ้าง ขนาดตกลงมาจากหน้าผาสูงแบบนี้ แขนขายังไม่หัก
เธอตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง แว่นตาหาย มือถือหาย หมวกกันแดดก็สาบสูญ เหลือแต่กระเป๋าเป้บนหลังที่ยังอยู่ ในนั้นมีขนมปังกับน้ำเปล่าครึ่งขวด คงพอประทังไปจนหน่วยกู้ภัยตามมาถึง
เซวียเสี่ยวหรั่นค่อยสงบอารมณ์ได้
ว่าแต่...
ทำไมถึงรู้สึก... หนาวล่ะ?
เธอสวมเสื้อแขนยาวกันแดดสีชมพูกับกางเกงเก้าส่วน [1] สีดำ แต่กลับรู้สึกหนาวทั้งที่ตอนนี้เพิ่งเข้าเดือนหกเท่านั้นเอง
ตอนปีนเขาเธอยังร้อนจนเหงื่อไหลไคลย้อย หากไม่กลัวผิวเสีย คงโยนเสื้อแขนยาวทิ้งไปนานแล้ว
แต่นี่กลับ... รู้สึกหนาวจนสั่นไปทั้งตัว?
เธอเหลียวซ้ายแลขวาอย่างตื่นตระหนก รอบกายมีแต่ต้นไม้สูงใหญ่กิ่งใบดกหนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นที่อยู่เหนือศีรษะของเธอ ลำต้นอวบใหญ่แข็งแรงต้องใช้คนสักห้าหกคนกระมังถึงจะโอบรอบ
เฉพาะแค่ยอดไม้ของต้นนี้ก็แทบจะปิดท้องฟ้าได้ทั้งผืนอยู่แล้ว
กิ่งไม้เพิ่งหักยังดูสดใหม่กระจัดกระจายอยู่ใต้ฝ่าเท้า ทับอยู่บนกองใบไม้ร่วงที่ทั้งเหลืองและสกปรกอีกชั้นแลดูสะดุดตา
เซวียเสี่ยวหรั่นมองขึ้นไปบนกิ่งไม้ที่เบียดเสียดแน่นขนัดอยู่เหนือศีรษะ คงจะเป็ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ที่ช่วยชีวิตเธอไว้ กิ่งของมันทั้งใหญ่และแข็งแรงพอที่จะรับการกระแทกหนักๆ ได้
เธอยกสองมือขึ้นมาประนมก่อนค้อมเอวทำความเคารพต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้าต้นนั้น
"ต้นไม้ใหญ่จ๋าต้นไม้ใหญ่ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้ หากไม่เพราะท่าน เสี่ยวหลันคงลงไปเดินอยู่แดนน้ำพุเหลืองแล้ว"
เธอกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ ถึงเธอจะไม่เชื่อเื่ผีสางเทวดา แต่แค่จุดธูปไหว้พระชั่วครั้งชั่วคราวย่อมไม่มีปัญหา
แสงสว่างในป่าริบหรี่ลงทุกที ขณะลมหนาวกลับยิ่งโหมแรง ข้อเท้าเปลือยเปล่าของเซวียเสี่ยวหรั่นผุดเป็ตุ่มหนังไก่
เห็นอยู่ว่าตอนที่เธอตกลงมาเป็เวลาประมาณสิบโมงเช้า แล้วทำไมตอนนี้ถึงรู้สึกเหมือนว่าฟ้าจะมืดแล้วล่ะ
ความว่างเปล่าอันสงัดเงียบชวนให้คนรู้สึกหวาดกลัว เซวียเสี่ยวหรั่นยกเท้าเดินไวกว่าความเร็วแสง ในพื้นที่โล่งน่าจะช่วยให้คนอื่นเห็นเธอง่ายขึ้น
เสียงเท้าย่ำไปบนกิ่งไม้ใบไม้แห้งซึ่งทับถมเป็ชั้นหนาดังกรอบแกรบ ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็วขึ้นจนเริ่มกลายเป็การวิ่ง
ป่าแห่งนี้ดูเหมือนจะไร้ขอบเขต เห็นอยู่ว่ามีแสงสว่างอยู่ไกลๆ เธอวิ่งผ่านป่าที่มีแต่ใบไม้แห้งเต็มพื้น ะโข้ามไม้ล้มที่ขวางทางอยู่ รวมถึงพุ่มไม้มากมายในหลุมใหญ่ ทว่าสุดสายตามองเห็นกลับยังคงมีแต่ต้นไม้น้อยใหญ่เท่านั้น
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เซวียเสี่ยวหรั่นหยุดพักหายใจกระหืดกระหอบ
ไม่ถูก นี่ไม่ถูกต้อง
หยาดเหงื่อไหลย้อยจากหน้าผาก เธอรู้สึกหวั่นใจอยู่ลึกๆ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เซวียเสี่ยวหรั่นก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง นางกอดกิ่งไม้ที่แกว่งไปมา เงยหน้ามองลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้บางตาเ่าั้
เธอคงไม่ได้ตาลายหรอกนะ
ถึงตาซ้ายจะสั้นร้อยห้าสิบ ตาขวาสองร้อยก็ไม่น่าจะถึงกับเห็นภาพซ้อน
แต่สีเขียวสุดลูกหูลูกตาที่เห็นอยู่นี่มันเื่อะไรกัน
เธอเอียงคอมองไปอีกด้าน ก็ยังคงเห็นแต่สีเขียวเต็มสองตา ที่เพิ่มขึ้นมาคือทิวเขาสลับซับซ้อนทอดยาวราวกับผืนแพร
เธอหลับตาลงอย่างเด็ดเดี่ยว ก่อนลืมขึ้นอีกครั้ง แต่ทัศนียภาพยังคงไม่เปลี่ยน
แม้แตู่เาที่เธอพลัดตกลงมาก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
เซวียเสี่ยวหรั่นสั่นสะท้านไปทั้งตัว
จบกัน เธอตกลงมาที่ไหนกันแน่ อย่าบอกนะว่าแค่ร่วงจากหน้าผาก็ข้ามมาไกลถึงป่าต่างมิติ หรือว่าจะทะลุมาถึงป่าแอมะซอน?
เธอหย่อนก้นนั่งบนกิ่งไม้สองมือโอบกอดลำต้น กิ่งไม้ส่ายไหวเพราะน้ำหนักของเธอ
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ดวงตาแข็งทื่ออย่างตื่นตะลึง ในสมองมีแต่ความว่างเปล่าขาวโพลน
...
เชิงอรรถ
[1] คนไทยเรียกกางเกงห้าส่วน หมายถึงกางเกงที่มีความยาวปิดหน้าแข้งแต่ไม่ถึงข้อเท้า